ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างเต็มตัวในปี 2565 ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายด้าน จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การวางแผนเงินออมหลังเกษียณ และที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย ส่งผลให้ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีแนวโน้มเติบโตสอดรับกับการขยายตัวดังกล่าว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การเติบโตของธุรกิจ
ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุในปี 2564 (เดือนมกราคม-มีนาคม) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน
52 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 79.31% สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่
พบว่า ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุเป็นที่นิยมของผู้ประกอบการในการประกอบธุรกิจในช่วง 2-3
ปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนการจัดตั้งเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561-2563 โดยในปี
2562 ที่ธุรกิจมีอัตราการเติบโตกว่าปีก่อนหน้ากว่า 50% และในขณะที่ปี 2563
ซึ่งเผชิญกับสถานการณ์โควิด 19 ก็ยังคงมีผู้สนใจในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่องใกล้เคียงกับปี
2562
จำนวนธุรกิจและมูลค่าทุน ณ 31 มีนาคม 2564
ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน
493 ราย มีมูลค่าทุนรวมทั้งหมด 1,615.93 ล้านบาท
ส่วนใหญ่ธุรกิจดำเนินกิจการในรูปแบบของบริษัทจำกัดมากที่สุด
โดยมีจำนวน 350 ราย คิดเป็น 70.99% รองลงมาคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสำมัญนิติบุคคล
มีจำนวน 143 ราย คิดเป็น 29.01% โดยธุรกิจนี้ไม่มีการจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัด
เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท มากถึง 95.13%
การเพิ่มทุนของธุรกิจในปี 2564 (เดือนมกราคม-มีนาคม) มีจำนวน
19.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การกระจายตัวของธุรกิจ
ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคกลางเป็นหลัก
คิดเป็นสัดส่วน 65.93% รองลงมาคือ ภาคเหนือและภาคตะวันออก
คิดเป็น 14.20% และ 7.72%
การกระจายตัวของธุรกิจอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมืองใหญ่
รวมถึงเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นเมืองท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค
โดยในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีการจัดตั้งธุรกิจ 3 อันดับแรก ได้แก่ นนทบุรี 70 ราย รองลงมาคือ
เชียงใหม่ 37 ราย ปทุมธานีและชลบุรีจังหวัดละ 23 ราย
ผลประกอบการธุรกิจ (ปี 2560-2562)
ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2560 มีรายได้จำนวน 460.07 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้จำนวน
772.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน และในปี 2562 รายได้ 1,008.56 ล้านบาท มีนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินในปี 2562 ทั้งสิ้น
248 ราย ส่วนใหญ่เป็นนิติบุคคลขนาดเล็ก (S) ถึง 96%
รายได้ส่วนใหญ่ของธุรกิจมาจากกลุ่มนิติบุคคลขนาดกลาง
(M) โดยในปี 2562 กลุ่มนิติบุคคลขนาดดกลาง
(M) มีรายได้จำนวน 507.71 ล้านบาท
ครองสัดส่วนของรายได้ 51% ขณะที่กลุ่มนิติบุคคลขนาดเล็ก (S) มีสัดส่วนรายได้ 49%
สำหรับภาพรวมของกำไร/ขาดทุน
(สุทธิ) ของธุรกิจ พบว่าธุรกิจมีผลกำไรในปี 2562 จำนวน 11.05 ล้านบาท มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปี
2561 คิดเป็น 1.6 เท่า โดยกลุ่มนิติบุคคลขนาดกลาง (M) เพิ่มขึ้น
52% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยมีสินทรัพย์ หนี้สิน และค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ากลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีการลงทุนในสินทรัพย์ในปี 2562 เพิ่มขึ้น
เพื่อรองรับการเข้าสู่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging
Society) อย่างเต็มรูปแบบ
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกำลังเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยก็กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัวในปีหน้า
ซึ่งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้นำไปสู่การสร้างโอกาสและเกิดความท้าทายในด้านทักษะแรงงานที่ต้องเพิ่มผลิตภาพ
(Productivity) เพื่อรับมือกับการขาดแคลนแรงงาน
รวมทั้งเกิดการปรับตัวในแนวโน้มความต้องการพื้นฐานต่างๆ เช่น ความมั่นคงด้านสุขภาพระยะยาว
ความมั่นคงด้านการเงิน สินค้าและบริการสำหรับผู้สูงอายุ
ซึ่งเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น
การดูแลผู้สูงอายุ เทรนเนอร์สำหรับผู้สูงอายุ กิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ
ที่ปรึกษาด้านการเงินเพื่อการเกษียณ รวมถึงที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตามมาตรฐานและการสร้างความไว้วางใจ เป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันของธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ
โดยผู้ประกอบการในบ้านเราควรเพิ่มศักยภาพให้ได้ตามมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีในการดึงดูดผู้ใช้บริการที่เป็นผู้สูงอายุจากต่างประเทศ
และช่วยขยายโอกาสทางการตลาดในอนาคต
แหล่งอ้างอิง : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า