มอง Climate Change เป็นวิกฤติ หรือเลือกจะมองให้เห็นโอกาส
เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว
เดี๋ยวแล้ง เดี๋ยวน้ำท่วม
ปัญหาภัยธรรมชาติส่วนหนึ่งซึ่งอาจกำลังจะเป็นส่วนใหญ่ในอนาคต
เกิดจาก Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม รวมถึงสิ่งมีชีวิตในทุกภูมิภาคของโลก ปัญหานี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ
มีการจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางแก้ไขไปพร้อมๆ กัน
“Time for Action” ไม่ได้เป็นแค่คำขวัญประจำการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่
25 หรือ COP25 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อช่วงปลายปี 2019
แต่ยังเป็นเหมือนเสียงระฆังยกแรกที่บอกให้รู้ว่า ถึงเวลาแล้ว!
ที่ทุกประเทศต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เฉพาะในสหรัฐอเมริกา จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Nature Climate Change เปิดเผยว่า ป่าไม้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศของโลกประมาณ 15.6 พันล้านเมตริกตันในแต่ละปี ระหว่างปี 2544 ถึง 2562 ในขณะที่การตัดไม้ทำลายป่าไฟไหม้และการรบกวนอื่นๆ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 8.1 พันล้านเมตริกตันต่อปี ขณะที่ป่าไม้ทั่วโลกคาดว่าจะดูดซับได้ประมาณ 7.6 พันล้านเมตริกตัน โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนสุทธิประมาณ 1.5 เท่าของการปล่อยมลพิษต่อปีจากทั้งสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกมีหลายสาเหตุด้วย
เช่น ระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนแปลงไป
การถ่ายทอดพลังงานจากดวงอาทิตย์มายังโลกมากขึ้นหรือน้อยลง หรือการระเบิดของภูเขาไฟ
แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า
มนุษย์ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในการทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย
การใช้รถ การใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน
การประกอบอาหาร รวมถึงการใช้พลังงานจากวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้ถ่านหิน
น้ำมัน และก๊าซ ล้วนปลดปล่อยก๊าซไปสู่บรรยากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซเรือนกระจก และก๊าซเหล่านี้เป็นสาเหตุให้อากาศร้อนขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ได้
Climate Change สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้อย่างไร
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสามารถสร้างความเสียหายได้
2 รูปแบบ ได้แก่
1.
ก่อให้เกิดการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น
ผลกระทบจากภัยแล้งนั้นทำให้กิจกรรมทางเกษตรกรรมลดลงส่งผลให้ผลผลิตและรายได้ลดลง
2.
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรง เช่น ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติธรรมชาติ
เช่นปี 2554 เกิดเหตุอุทกภัยใหญ่ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเกือบ
13 ล้านคน ซึ่งธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายประมาณ 1.44
ล้านล้านบาท
มองวิกฤติ..ให้เห็นโอกาส
แนวโน้มความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้น
อาจส่งผลต่อการดำเนินกิจการ
รวมไปถึงความสามารถในการประกอบกิจการและการแข่งขันในอนาคต ดังนั้นในการดำเนินธุรกิจและวางแผนธุรกิจของผู้ประกอบการ
จำเป็นจะต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนและทรัพยากรที่ค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้ในการพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
นั้น ควรจะพิจารณาให้ครอบคลุมทางด้านการผลิต แหล่ง/การจัดหาวัตถุดิบ การจัดจำหน่าย
และการกระจายสินค้า รวมทั้งหาแนวทางเพื่อลดความเสี่ยงหรือบรรเทาปัญหาต่างๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและดำเนินกิจการต่อไปได้ในระยะยาว
ซึ่งแนวธุรกิจที่น่าจะรุ่งให้ห้วงที่ผู้คนให้ความสำคัญกับ Climate Change ก็คือ กระแสรักษ์โลก และการเลือกใช้สินค้าที่ผลิตโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม นับว่าเป็นหนึ่งในโอกาสของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการที่จะเพิ่มยอดขาย โดยการปรับการผลิต หรือการออกแบบสินค้าเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบโดยใช้วัสดุรีไซเคิล การออกแบบเพื่อลดการใช้วัตถุดิบ การปรับปรุงระบบการผลิต ที่ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจจะปรับการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ที่มีในประเทศ เช่น โครงการอุตสาหกรรมสีเขียว (ระดับโรงงานผลิต) ฉลากสินค้าสีเขียว
(ระดับสินค้า) รวมทั้งควรเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้า/บริษัท
และสร้างความรับรู้ให้กลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการใช้สินค้าที่ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
แหล่งอ้างอิง :
http://www.dsdw2016.dsdw.go.th/
https://www.bangkokbiznews.com/