ศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical
Hub)
ความพยายามที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรในอาเซียน
โดยการสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ทั้งยังรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุในประเทศไทย
แต่ทราบหรือไม่ว่า ภายใต้การขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น Medical Hub จะเกิดเป็นโครงสร้างซัพพลายเชนขนาดใหญ่ ที่จะสร้างโอกาสสำหรับธุรกิจภายในประเทศในส่วนที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต ภาคบริการ การค้า
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยเกินดุลการค้าเครื่องมือแพทย์
โดยมีการส่งออกในปี 2562 อยู่ที่ 106,000 ล้านบาท (ทิศทางปกติก่อนมีโควิด 19) ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าที่มีประมาณ
70,000 ล้านบาท
และเป็นประเทศที่มีการค้าเครื่องมือแพทย์สูงที่สุดในอาเซียน คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่
8-10% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.2%
ทั้งนี้ การผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีผู้ประกอบการรวมทั้งสิ้น
1,586
ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ร่วมลงทุนจากต่างประเทศ
ส่วนมากเป็นการผลิตเพื่อส่งออกในกลุ่มวัสดุทางการแพทย์ที่ใช้แล้วทิ้งถึง 84%
ได้แก่แอลกอฮอล์ ผ้าก๊อซ เข็มฉีดยา สบู่ล้างมือ สเปรย์ล้างมือ
หน้ากากอนามัย แว่นตาป้องกัน เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน พบว่ามีบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น
66
แห่ง ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งเป็นการขอส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มวัสดุทางการแพทย์
ขณะที่การนำเข้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องอัลตราซาวด์
เครื่องเอกซเรย์ เครื่องมือทางจักษุ เป็นต้น ประเทศคู่ค้าที่ไทยนำเข้ามาก ที่สุดคือ
สหรัฐอเมริกา เยอรมนีและจีน
ด้วยเหตุนี้ โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ที่มีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
เนื่องจากอัตราการเจ็บป่วยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคเฉพาะทาง อาทิ
โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด สมอง โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน กอปรกับการเข้าสู่สังคมสูงวัย
แนวคิดผลักดันไทยสู่ Medical
Hub
ภายใต้การขับเคลื่อน BCG
สาขาเครื่องมือแพทย์ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยในช่วงปี
2564-2568 อันนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เพิ่มการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์จากบัญชีนวัตกรรมไทยอย่างน้อย
30% ของผลิตภัณฑ์ที่ได้ จากการวิจัยนวัตกรรมและผลิตในประเทศ
เรื่องนี้อาจมองว่าจะเป็นโอกาสสำคัญ อาทิ
กรณีที่รัฐจะใช้การดำเนินงานผ่านกลไกของกลุ่มวิจัย วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) หรือ NSTDA
ในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ไทย ที่ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับจากแพทย์และประชาขน
ลดการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์จากต่างประเทศ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ
SMEs
รวมทั้งมาตรการ อาทิ การเพิ่มโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่มีราคาถูก
และมีมาตรฐาน ผ่านการดำเนินงาน ทั้งในด้านการสร้างความพร้อมในด้านเครื่องมือ
เทคโนโลยี ครุภัณฑ์ และซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ และมีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาด มีมาตรการลดภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่ใช้ในเครื่องมือแพทย์เป็น
0%
และสนับสนุนการต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ‘บุคลลากร’ ดังนั้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม
รวมทั้งผู้ประกอบการด้านเครื่องมือแพทย์ จึงมีส่วนสำคัญมากเช่นกันที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรผ่านการขับเคลื่อนแผนงาน
BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการนำผลงานวิจัยไปสู่ภาคการผลิตและบริการ
ซึ่งจะเป็นคลัสเตอร์ที่มีความสำคัญและน่าสนใจมากในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทีกำลังมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง