สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีไม่เพียงสะท้อนที่ตัวบุคคล
ยังสะท้อนผ่านสิ่งของเครื่องใช้ กิจกรรมการดำเนินชีวิต และอาหารที่รับประทาน
แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงรสนิยมการดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่ไม่ว่าโลกจะเผชิญวิกฤตแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่ามูลค่าตลาดกลับเพิ่มขึ้น
สวนกระแสเศรษฐกิจอย่างมีนัยที่น่าสนใจ
ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว
หรือเรียกจนติดปาก คล่องหูว่า ‘น้องหมา น้องแมว’ สัตว์เลี้ยงยอดฮิตติดลมบนของคนรุ่นใหม่
ไม่เพียงจะช่วยผู้เลี้ยงมีความสุขทางใจแล้วยังสามารถคลายความเหงาไปในตัว
แต่หากมองในแง่เชิงธุรกิจแล้วไม่เศรษฐกิจย่ำแย่แค่ไหน บรรดาสัตว์เลี้ยงเหล่านี้กลับสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องที่มีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า
4 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตกว่า 10% ทุกปี
จากข้อมูลของ เอ็น.ซี.ซี.
เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ผู้จัดงาน เพ็ท เอ็กซ์โป สาเหตุเพราะกลุ่มผู้รักสัตว์เลี้ยงพร้อมที่จะทุ่มเงินซื้ออาหารคุณภาพชั้นยอด
ราคาแพงไม่เกี่ยง ขอให้ความสุขทางใจก็พอ ทำให้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง เข้าไปมีสวนแบ่งตลาดสูงถึง 43% หรือมีมูลค่าถึง 1.33 หมื่นล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตามธุรกิจที่ถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง
เติบโตแบบก้าวกระโดด ตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตของกลุ่มผู้บริโภค คือ ‘Pet Healthcare’ ธุรกิจดูแลสุขภาพเพื่อน้องหมาน้องแมว
เช่น โรงพยาบาล คลินิก สปา อาบน้ำ ตัดขน โรงเรียนฝึก โรงแรม และบริการอื่นๆ ซึ่งตลาดนี้มีสัดส่วน
33% รวมทั้งธุรกิจจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น เสื้อผ้า
ของเล่น ที่มีสัดส่วน 23% ขณะเดียวกันธุรกิจสัตว์เลี้ยงยังเป็นเทรนด์ที่สอดรับกับสังคมคนโสด
สังคมสูงวัย และ ครอบครัว ที่มีขนาดเล็กลง
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ประชากรทั่วโลกนิยมเลี้ยงหมา-แมวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ปี โดยมีกลุ่มประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตมากสุดถึง 30% รวมทั้งตลาดภูมิภาคอาเซียน โดยส่วนสัตว์เลี้ยงก็เปลี่ยนไปเลี้ยงพันธุ์เล็กกันมากขึ้น ซึ่งกลุ่มที่หันมาเลี้ยงหมาและแมวขนาดเล็กกันมากสุดในยุคสมัยใหม่ คือกลุ่มคู่สามีภรรยามีรายได้ดีมั่นคงแต่ไม่มีลูก หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า กลุ่ม D.I.N.K (Dual-Income, No-Kids) ซึ่งกลุ่มนี้ผลักดันให้ยอดขายธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลแมวทั้งหมดทั่วโลกในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 62,000 ล้านบาท)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
5 ปัจจัยหลักกระตุ้นตลาดไทยเติบโตไม่หยุด
ในส่วนประเทศไทย เมื่อวิถีชีวิตของพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนแปลงจากครอบครัวใหญ่กลายเป็นครอบครัวเล็ก
เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิก สัตว์เลี้ยงน้องหมาน้องแมวจึงเข้ามาเติมเต็มชีวิตของผู้คนเหล่านี้มากขึ้น
ส่งผลให้ตลาดดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเติบโตตามไปด้วยจาก 5 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย
1. คนสูงวัยเพิ่มมากขึ้น (Aging Population) ทำให้กลุ่มผู้สูงวัยหันมาเลี้ยง น้องหมา น้องแมว คลายความเหงา
จึงทุ่มทุนฟูมฟักสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นให้เหมือนคนในครอบครัว
เพื่อให้สมาชิกเหล่านั้นมีชีวิตไม่ต่างจากลูกหรือคนรัก
2. แต่งงานแล้วไม่มีบุตร
มีบุตรคนเดียว หรืออยู่เป็นคู่ในเพศเดียวกัน (Dual Income, No Kids : D.I.N.K) ทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นมากกว่าแค่สัตว์เลี้ยง กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำว่าครอบครัว
เพื่อเติมเต็มความรู้สึกที่ต้องการร่วมกันดูแลเหมือนใครสักคน
3.
กลุ่มคนรักสัตว์นิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนลูก (Pet
Humanization)
หมดยุคเลี้ยงสัตว์แบบคลุกข้าว ก้าวสู่ยุคถนอมดั่งดวงใจ
การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเปลี่ยนไปจากอดีตที่เจ้าของหาข้าวหาน้ำให้กิน
ฉีดวัคซีนดูแลยามป่วยไข้
แต่สัตว์เลี้ยงในยุคปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตที่โดยเฉลี่ยเลี้ยงสุนัข
1 ตัว มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,000-1,500 บาทต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายของแมว 1 ตัว
อยู่ที่ 700-1,000 บาทต่อเดือน
4. วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ดีขึ้น (Pet Health Care improved) ตอบสนองกระแสความนิยมในธุรกิจสัตว์เลี้ยง
ประกอบกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุ่มเทดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักเรียนสัตวแพทย์หันมาเลือกเรียนทางด้านสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
70-80% จากเดิมที่เลือกเรียนเกี่ยวกับปศุสัตว์ ทำให้ธุรกิจคลินิกสัตว์เลี้ยงในเมืองโตขึ้นมากในช่วง
5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีโรงพยาลสัตว์ทั่วประเทศกว่า 3 พันแห่ง แบ่งเป็นคลินิกเล็ก
80% คลินิกผ่าตัด 15% และโรงพยาบาลมีเครื่องมือพร้อมทีมแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางอีก
5%
5. สถานที่และที่พักอาศัยสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น
(Friendly Pet Community) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่มีความผูกผันระหว่างสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของ
ทำให้ภาคบริการต่างๆ ผุดขึ้นมารองรับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ เช่น โรงแรม หมา แมว
ที่บริการรับฝากเลี้ยงชั่วคราวในยามที่เจ้าของไม่อยู่บ้านหลายวัน
ผู้ผลิตรุกแย่งส่วนแบ่งตลาดไทย-อาเซียนแสนล้านบาท
นอกจากตลาดภายในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องแล้ว
ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดอาเซียนก็ขยายตัวไม่แพ้กันที่มีมูลค่าทางการตลาดกว่า 1
แสนล้านบาท ทำให้ผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของไทยต่างก็ตั้งเป้าหมายเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดครอบคลุมทั้งไทยและอาเซียน
โดยตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เป็นตลาดน่าสนใจมาก เพราะมีประชากรมากและมูลค่าการตลาดยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง
สวนกระแสเศรษฐกิจตกต่ำจากผลกระทบวิกฤติโรคโควิดเล่นงาน
ส่วนประเทศมาเลเซีย เมียนมา ลาว กัมพูชา
และเวียดนาม ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ยุโรป
และสหรัฐอเมริกา ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเน้นให้ความสำคัญของการสั่งซื้อออนไลน์เป็นหลักตามวิถีการค้ายุค
New Normal โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้เลี้ยงจะใช้จ่ายต่อสัตว์เลี้ยงมากขึ้นถึง
54% เมื่อเทียบกับปี 2560 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 1,770 บาทต่อตัวต่อปี
และเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีค่าใช้จ่าย 1,145 บาทต่อตัวต่อปี
ไม่ว่าเศรษฐกิจตกต่ำมากน้อยแค่ไหน
ธุรกิจสัตว์เลี้ยงกลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด กลับกันอัตราการเติบโตสวนกระแสดัชนีเศรษฐกิจไปอย่างสิ้นเชิง
โดยเติบโตเฉลี่ยปี 10% ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากพฤติกรรมคนรุ่นใหม่อยากให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
มีไลฟ์สไตล์ที่คล้ายคลึงกับตัวเอง ไม่ว่าพาไปนั่งเล่นตามร้านคาเฟ่สัตว์เลี้ยง
ไปออกกำลังกายที่สระว่ายน้ำ ทำสปา แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับสวยๆ หากสัตว์เลี้ยงลาโลกก็จะทำมีพิธีการฌาปนกิจเหมือนกับคนทั่วไป
ส่งผลให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีโอกาสต่อยอดได้อีกไกล และมีอนาคตสดใสเลยทีเดียว
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจดาวรุ่งที่ยังคงพุ่งแรงและน่าจับตามาตลอด
10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้สัดส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มอาหารสัตว์
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยน
สัตว์เลี้ยงจึงเป็นมากกว่าสัตว์เลี้ยง การดูแลเอาใจใส่จึงต้องพิเศษมากขึ้น และนี่จะเป็นโอกาสโตของธุรกิจ
Pet Healthcare และจะโตเพิ่มขึ้นอีกมากไม่เชื่อคอยดู