ชวนรู้จัก ‘Surf Skate’ ทำไมดัง? ปังในไทย

‘เซิร์ฟสเก็ต’ หนึ่งในสเก็ตบอร์ดชนิดหนึ่ง เกิดจากการผสมผสานของสเก็ตบอร์ดแบบดั้งเดิมและกีฬาเซิร์ฟ โดยพัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดทักษะการเล่นเซิร์ฟ ซึ่งให้ความรู้สึกคลับคล้ายกับการเล่นเซิร์ฟบอร์ดในทะเลมากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ผู้คนโหยหากีฬาโต้คลื่น จึงทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจและอยากลองเล่นกันมากขึ้น

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

Surf Skate ต่างจาก Skateboard อย่างไร?

- การเล่น Surf Skate จะใช้การบิดตัวและแรงเหวี่ยงของสะโพกในการขับเคลื่อน จึงไม่ต้องใช้แรงไถมากเท่ากับ Skate Board

- แผ่น Surf Skate ไม่แข็งเท่ากับ Skate Board และล้อหน้าของ Surf Skate สามารถหมุนซ้าย-ขวา หรือ 360 องศาได้ง่ายกว่าสเกตบอร์ด

โดยวิธีการเลี้ยวหรือการเทิร์นกลับ จะเป็นไปตามทางที่เท้าถ่ายเทน้ำหนักตัวลงไป เช่น ต้องการเลี้ยวซ้าย ก็แค่ถ่ายน้ำหนักกดบอร์ดไปทางซ้าย บอร์ดก็จะเลี้ยวเทิร์นไปทางซ้าย

ทำไม..ไทยถึงฮิต?

ราว 10 ปีก่อน เซิร์ฟสเก็ตในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นคล้ายที่แคลิฟอร์เนีย เนื่องจากกลุ่มคนเล่นเซิร์ฟบอร์ดที่มักจะไปรวมตัวกันตามเมืองทะเลและชายหาดอย่างกระบี่หรือภูเก็ต ต้องหาทางแก้ในช่วงเวลาที่มรสุมเข้า จนไม่สามารถนำเซิร์ฟบอร์ดลงไปเล่นในทะเลได้ พวกเขาเริ่มปรับแต่งด้วยการเอาทรัคของ Longboard มาเพิ่มความกว้าง แล้วก็เพิ่มองศาการเข้าโค้งให้ใกล้เซิร์ฟจริงๆ เพื่อฝึกซ้อมแทน เซิร์ฟสเก็ตจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับกลุ่มคนเหล่านั้น

กระแสความแรงของเซิร์ฟสเก็ตในไทยเริ่มปรากฏขึ้นชัดเจนตั้งแต่ประมาณกลางปีที่แล้ว เราเริ่มเห็นใครหลายคน รวมถึงบรรดาคนดังหาซื้อเซิร์ฟสเก็ตมาเล่นกัน เมื่อบวกกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันที่คุ้นชินต้องงดไปเพื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ เช่น เดินห้างสรรพสินค้า ออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ การกินอาการในร้าน ท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ และยังกระทบถึงกีฬาประเภทหนึ่งที่กำลังมาแรงก็คือ ‘เซิร์ฟบอร์ด’ ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เซิร์ฟบอร์ดคือกีฬาที่ฮิตขึ้นมามากในหมู่นักเล่นบ้านเรา โดยในปีที่แล้วธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นเซิร์ฟเติบโตมากในแถบภาคใต้ เช่น ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น มีนักเรียนเลือกลงคอร์สเรียนใน Surf School จำนวนมาก

เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่น่าไว้วางใจ การเดินทางข้ามจังหวัดไปทะเลเพื่อเล่นเซิร์ฟจึงเป็นเรื่องยาก เมื่อทุกคนเบื่อกับการอยู่แต่บ้าน ‘เซิร์ฟสเก็ต’ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า ‘เซิร์ฟบก’ จึงกลายเป็นกีฬาฮิตติดตลาดกีฬาในไทยขณะนี้เพราะสามารถเล่นตามสถานที่ต่างๆ ได้นั่นเอง

Surf Skate ดีอย่างไรต่อสุขภาพ?

1. ช่วยฝึกทักษะการประสานงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ

เล่นเซิร์ฟสเก็ตช่วยเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อลำตัว กล้ามเนื้อท้อง หลัง สะโพก และขา ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น

2. ช่วยในการทรงตัว

เนื่องจากเป็นกีฬาที่อาศัยการทรงตัวเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ดังนั้นการเล่นเซิร์ฟสเก็ตจึงช่วยในการพัฒนาทักษะการทรงตัว และสร้างสมดุลของร่างกาย

3. เผาผลาญพลังงาน

เล่นเซิร์ฟสเก็ตก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน โดยสามารถเผาผลาญพลังงานไปได้ 300 กิโลแคลอรี่ต่อการเล่น 1 ชั่วโมง (คำนวณจากคนน้ำหนัก 56 กิโลกรัม) เพราะทั้งวิ่ง - ขยับร่างกายตลอดเวลา ทำให้ได้เหงื่อไม่น้อยเหมือนกัน

4. เป็นการออกกำลังแบบ Cardio ผสม Weight Training

การเล่นเซิร์ฟสเก็ตสามารถเล่นได้ทุกคน คนที่วิ่งแล้วเจ็บหรือปวดเข่าก็สามารถเล่นได้ เพราะการเล่น Surf Skate ก็เหมือนเรายืนสควอช ทำให้หน้าขาและก้นแข็งแรงขึ้น ช่วยลดอาการบาดเจ็บของเข่าได้ นอกจากนี้ยังได้ทั้งวิ่งและเกร็งกล้ามเนื้อ เสมือนได้ออกกำลังแบบคาร์ดิโอและเวตเทรนนิ่งไปพร้อมกันอีกด้วย

5. คลายเครียด

เมื่อได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรี พร้อมมีลมปะทะใบหน้า เชื่อไหมว่าแค่นี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้แล้วยังได้ความรู้สึกสนุกอีกด้วย

6. ช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ

ด้วยลักษณะการทรงตัวและเคลื่อนไหวอย่างพลิ้วๆ ของเซิร์ฟสเก็ต ทำให้เราต้องปรับท่าทางของร่างกายไปโดยอัตโนมัติ ช่วยให้บุคลิกดีขึ้น และการที่เราเล่น Surf Skate ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ด้วย เหมือนที่เราเห็นคนอื่นเล่นแล้วรู้สึกว่าเขาเท่จังนั่นแหละ

7. ได้เพื่อนใหม่

การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่กำลังหมดไฟ เซ็งจิต เครียด ฟุ้งซ่าน ฯลฯ การได้ออกมาโลดแล่นตามสถานที่ต่างๆ และพบปะกับผู้คน ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวซึ่งกันและกัน ก็ทำให้ลืมความคิดที่ส่งผลเสียต่อจิตใจไปได้เหมือนกัน

การเล่นเซิร์ฟสเก็ตควรวอร์มอัพร่างกายก่อนเหมือนการออกกำลังกายทั่วไป นอกจากนี้ควรศึกษาวิธีและเทคนิคการเล่นอย่างถูกต้องจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ที่สำคัญควรใส่อุปกรณ์ป้องกัน อาทิ หมวก สนับเข่า สนับศอก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือได้รับบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้