“มาตรการล็อคดาวน์” “รักษาระยะห่าง” และ “ความกังวลใจของผู้บริโภคทั่วไป” ทำให้ผู้คนเลือกทำกิจกรรมนอกบ้านน้อยลง โดยเฉพาะการเดินเข้าโรงหนังไปชมภาพยนตร์ จนทำให้โรงหนังบางแห่งต้องปิดตัว หรือได้รับผลกระทบเป็นปีที่ขาดทุนมากที่สุดนับตั้งแต่ 10-20 ปีที่ผ่านมา เพราะหนังใหญ่ขอเลื่อนฉาย, ค่ายผลิตนำไปลงแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งเอง, จำกัดที่นั่งในโรงหนังตามมาตรการรักษาระยะห่าง ส่งผลให้ผู้บริโภคเลือกที่จะรับชมภาพยนตร์/ซีรีส์/สารคดีจนจุใจ ผ่านแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งแต่ละประเภทตามที่ต้องการ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ
อย่าลืมกดไลก์
Facebook bangkokbanksme
ตลาด Online
Streaming ในปีที่ผ่านมา
ปกติแล้วแอปพลิเคชัน
Video Streaming ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ทั่วโลกยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยิ่งเมื่อปีที่ผ่านมา
ผู้บริโภคไม่สามารถออกไปข้างนอกได้สะดวกเท่าไหร่
กิจกรรมยอดฮิตคงหนีไม่พ้นการเสพคอนเทนต์อย่าง Video Streaming ทำให้สถิติของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งอย่าง Netflix ที่ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกกว่า 203.7 ล้านบัญชี
สามารถสร้างรายได้กว่า 6.64 พันล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 21.5%
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าแม้หลายธุรกิจจะขาดทุน
แต่ตลาด Online Streaming ในปีที่ผ่านมายังคงถือว่าทำได้ดีและเติบโตขึ้นตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
3 ปัจจัยที่ทำให้
Online Streaming เติบโตช่วงโควิด-19
1. พฤติกรรมเดิมของผู้บริโภค : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผู้บริโภคเริ่มหันมาเสพคอนเทนต์วิดีโอยาวผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น
ทำให้แอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับคอนเทนต์วิดีโอได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นแอปฟรีอย่าง Youtube
หรือแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งเสียค่าใช้จ่ายอย่าง Netflix, HBO
go, Viu ฯลฯ และบางส่วนก็มีพฤติกรรมชอบดูหนัง ซีรีส์ และอื่นๆ
มาเป็นทุนเดิม พอโดนล็อคดาวน์การรับชมวิดีโอผ่านแอปเหล่านี้จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
2. คุ้มค่า คุ้มราคา : ถ้าเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างเดินเข้าโรงกับแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งจะมีความใกล้เคียงกัน
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1xx-3xx
บาท แต่แอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งสามารถเลือกดูได้หลากหลายจนกว่าจะครบตามกำหนดเวลา
ในขณะที่ตั๋วหนังสามารถดูได้เรื่องเดียวและครั้งเดียว ในมุมของคนที่มีหนังที่อยากดูในโรงย่อมมองว่า
คุ้มค่าทั้งสองแบบ แต่ในมุมของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีหนังเรื่องไหนอยากดูเป็นพิเศษ
ย่อมเห็นว่าแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งคุ้มค่า คุ้มราคามากกว่า
แถมไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
3. กิจกรรมผ่อนคลายช่วงล็อคดาวน์
: ต้องยอมรับว่าช่วงล็อคดาวน์ที่ต้องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเดิมๆ
อย่างภายในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีกิจกรรมผ่อนคลาย
ทำให้สุขภาพจิตของผู้คนอ่อนแอลงไปบ้าง ต้องหากิจกรรมผ่อนคลายมาทำช่วงล็อคดาวน์
เช่น การดูหนังหรือซีรีส์ต่างๆ ฯลฯ
แม้แต่คนที่ปกติไม่ได้ชอบดูหนังก็ยังหยิบมือถือมาโหลดแอปพลิเคชั่น Video Streaming
เทรนด์
Online Streaming ที่น่าจับตา
แม้ว่า
Online Streaming จะมีแนวโน้มเติบโตไปแบบไม่หยุดนิ่ง
แต่ในปี 2564 ก็มีบางเทรนด์ที่น่าจับตามอง เช่น
- ผู้บริโภคใช้แอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งมากกว่า
1 : ถึงส่วนใหญ่จะดูหนัง ซีรีส์
หรือรายการวิดีโอ ในหนึ่งแอปพลิเคชั่นได้ไม่ครบทุกเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เสพคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้น
และยอมจ่ายเพื่อให้ได้ดูในสิ่งที่ต้องการ แม้ว่าตอนแรกจะอยากดูแค่เพียงเรื่องเดียวก็ยอมที่จะจ่าย
- แข่งกันด้วยรายการ
Exclusive : ด้วยความที่งบในกระเป๋าของผู้บริโภคส่วนใหญ่มีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งที่ในใจอยากสมัครรายเดือนไว้ดูทุกแอปพลิเคชั่น
แต่ก็จำเป็นต้องเลือกดูเฉพาะสิ่งที่อยากดูจริงๆ จะเห็นได้ว่า
การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ใครมีจำนวนให้เลือกมากที่สุด
แต่อาจเลือกจากรายการที่เป็นรูปแบบ Exclusive ที่น่าสนใจ
- Original Content กำลังมา : คนที่เคยรับชม Netflix คงจะพอเคยเห็นว่า
จากที่เคยเป็นแอปพลิเคชั่นซื้อลิขสิทธิ์มาให้สมาชิกได้ดู ปัจจุบันยังมี Original
Content ที่ทาง Netflix
เป็นผู้ลงทุนสร้างเองอีกด้วย เหตุผลไมใช่เพียงแค่เรื่องความเป็น Exclusive
แต่ยังเป็นเพราะต้องคืนลิขสิทธิ์และคอนเทนต์ให้กับเจ้าของเมื่อถึงกำหนด
ทำให้คอนเทนต์ดีๆ ที่เคยมีบนแอปพลิเคชั่นสตรีมนั้นหลุดมือไป
นอกจากนี้
เราอาจจะได้เห็นผู้ให้บริการ Online
Streaming แต่ละแห่งลงมาแข่งขันและทำการตลาดมากขึ้นอีกด้วย เช่น Netflix
ที่ลงทุนทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตามตำแหน่งต่างๆ ของกรุงเทพ
อย่างเรื่อง ‘เคว้ง’ ที่ลงทุนทำเพลงจนติดหูและเนรมิตทางเดิน
MRT พหลโยธินให้รู้สึกเคว้งสมชื่อหนัง ฯลฯ
ซึ่งผู้บริโภคนักเสพคอนเทนต์วิดีโอบน Online Streaming อย่างพวกเราก็คงจะต้องจับตามองกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ขณะเดียวกันหากมองในมุมการประกอบธุรกิจและการแสวงหาโอกาสทางการค้า จะเห็นว่าหลายแบรนด์ในปัจจุบันต่างมีการทำการตลาดกับคอนเทนต์วิดีโอบน Online Streaming เพื่อสร้างการรับรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่เสพคอนเทนต์ออนไลน์มากที่สุด รวมทั้งเป็นโอกาสของผู้พัฒนาคอนเทนต์ไทยได้มีช่องทางในการเผยแพร่ผลงานในระดับนานาชาติมากขึ้นด้วย
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<