ภาวะโลกร้อน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมมือจัดการแก้ไขกันอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ถือเป็นส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก จนผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้น หากสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ หลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขมาโดยตลอด ตั้งแต่การกำหนดกรอบความตกลงปารีส (Paris Agreement) จนกระทั่งมีแนวคิด Net-zero เกิดขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Net-zero คืออะไร?
Net-zero คือเป้าหมายเกี่ยวกับการปรับสมดุลให้สุทธิกลายเป็นศูนย์
โดยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา เช่น กระบวนการผลิตและอุตสาหกรรม เป็นต้น
ให้สมดุลกับปริมาณที่เรากำจัดออกไป เช่น การดักจับคาร์บอนก่อนปล่อยออก หรือปลูกต้นไม้เพิ่ม
เป็นต้น เหมือนการอาบน้ำที่เราต้องปล่อยน้ำออกจากก๊อกหรือฝักบัว
หากประมาณน้ำไม่มากเกินไปหรือรูระบายน้ำไม่ถูกกั้น
น้ำที่ผ่านการใช้แล้วเหล่านั้นก็จะไหลผ่านรูระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
ต่างจาก zero carbon ที่จะต้องควบคุมไม่ให้เกิดขึ้น
หรือเป็นศูนย์มาตั้งแต่ต้น
เหตุผลที่
SME ต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่
Net-zero
ย้อนกลับไปในปี
2019 สหราชอาณาจักร
ถือเป็นประเทศแรกที่สร้างกฎหมาย เพื่อสนับสนุนการยุติภาวะโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจก
เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ด้วย Net-zero เพื่อให้เหลือศูนย์ภายในปี
2050 นี้
ซึ่งหนึ่งในส่วนสำคัญที่สหราชอาณาจักรวางเป้าหมายไว้
นอกจากองค์กรขนาดใหญ่และผู้บริโภค
ก็คือ SME เนื่องจากมีจำนวนกว่า 97%
ของระบบเศรษฐกิจ และปล่อยมลพิษกว่า 25% จากทั้งประเทศ
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียง 1 ใน 4 ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่าเหล่าธุรกิจใหญ่ที่ขับเคลื่อนประเทศ
แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่หากไม่ให้การร่วมมือ
ประเทศและทั่วโลกก็อาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ซึ่ง SME ไทยเองที่มีจำนวนมากถึง
99% ในระบบเศรษฐกิจไทยก็ควรมีส่วนร่วมช่วยลงมือด้วยเช่นกัน
อีกทั้งเรื่องความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
หลังจากเกิดกระแสรณรงค์รักษ์สิ่งแวดล้อมมากมาย
ยังช่วยเพิ่มข้อได้เปรียบให้แก่ธุรกิจที่ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติ ผลิตภัณฑ์
และบริการที่ยั่งยืน มากกว่า รวมถึงเพิ่มโอกาสในการส่งออก ซึ่งในอนาคตอาจจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับ
Net-zero มาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของบางประเทศหรือทั่วโลกด้วย
อุปสรรคของ
SME ต่อการปรับตัว
อุปสรรคของ
SME ต่อการปรับตัว
เพื่อเข้าสู่ Net-zero มีหลากหลายประการ
แตกต่างกันไปตามแต่ละปัจจัย แต่ส่วนใหญ่ที่มักจะเจอก็คือ
1) ขาดความตระหนักถึงปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
2) ขาดความรู้ว่า
จะปรับตัว ด้วยการลดหรือจัดการกับก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
ให้ถูกวิธีและมีประสิทธิภาพอย่างไร พอไม่มีความรู้หรือความชำนาญที่มากพอ
เลยทำให้การปรับตัวต้องใช้ทุนสูงขึ้น
3) SME ส่วนใหญ่ต้องต่อสู้กับความท้าทายในแต่ละวัน ด้วยความรวดเร็ว
ในขณะที่การลงทุนควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
จำเป็นต้องใช้เวลาและเงินจำนวนหนึ่ง
และอื่นๆ
ที่ทำให้ SME คิดหนักกว่าจะตัดสินใจเข้าสู่ net-zero ด้วยความสมัครใจ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมรัฐในหลายประเทศจึงต้องสร้างนโยบายมา เพื่อช่วยกำกับดูแลเหล่าธุรกิจ
รวมถึง SME
วิธีเบื้องต้นเพื่อให้
SME ก้าวเข้าสู่ Net-zero
เชื่อว่า
คงมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบหรือไม่มั่นใจว่า
ควรจะเริ่มต้นปรับตัวอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจเข้าสู่ Net-zero ส่วนนี้จึงขอมาบอกต่อวิธีเบื้องต้น
เพื่อให้ SME ก้าวเข้าสู่ Net-zero ได้อย่างมีประสิทธิภาพกัน
- ประเมินธุรกิจของคุณ
: เริ่มแรกคือ คุณควรที่จะประเมินก่อนว่า
มีกระบวนการใดในธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์บ้าง และปริมาณเท่าไหร่
เพื่อให้ง่ายต่อการระบุ และวางแผนให้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
- ปรับนโยบายในที่ทำงานบางส่วน
: นอกจากเรื่องกระบวนการบางส่วนแล้ว คุณอาจจะลองวางนโยบายภายในที่ทำงานบางส่วนด้วยก็ได้
เช่น ระยะเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น
เพื่อลดการเดินทางที่เร่งรีบจนก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น หรือการตกแต่งภายในที่ทำงานโดยเน้นความยั่งยืน
รวมถึงการเลือกใช้หน้าต่างและพัดลมบ้าง (แต่ก็เข้าใจว่าประเทศไทยร้อนมาก
จะไม่เปิดเครื่องปรับอากาศก็ลำบากเหมือนกัน อย่างไรควรปรับตามความเหมาะสมเป็นหลัก)
เป็นต้น
- รีไซเคิลและรียูส : สำหรับ SME อาจจะยังไม่ถึงขั้นต้องรีไซเคิลและรียูสจริงจังในกระบวนการผลิต
แต่อาจจะเริ่มลงมือจากการทำงานภายในองค์กร เช่น มีการคัดแยกถังรีไซเคิล, หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว
มาเป็นพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลหรือรียูสได้ เป็นต้น
- เข้าร่วมโครงการที่สนับสนุน Net-zero : หากมีโอกาส
ลองเข้าร่วมโครงการที่สนับสนุนการเข้าสู่ Net-zero เช่น GI-SMEs อบรมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ,
โครงการประเมินธุรกิจคาร์บอนต่ำและยั่งยืน ของ อบก. โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
เป็นต้น โดยอาจติดตามข่าวสารหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่าง
กระทรวงอุตสาหกรรม, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรืออื่นๆ
ในปี ค.ศ. 2050 นี้ ประเทศที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ เช่น สหราชอาณาจักร
สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เป็นต้น จะก้าวเข้าสู่ยุค Net-zero อย่างเต็มตัว
ดังนั้น ธุรกิจ SME ควรเร่งศึกษาและค่อยๆ
วางแผนปรับตัวไปเรื่อยๆ เนื่องจากจะส่งผลดีมากกว่าการไปเร่งปรับตัวทันทีในตอนนั้น อันเนื่องจากกฎและระเบียบการที่เข้มข้นมากขึ้น
โดยเฉพาะตลาดในยุโรปและอเมริกา
ที่มุ่งเน้นนโยบายและการค้าที่ไม่ทำร้ายโลก
รวมถึงเรื่องซัพพลายเชนที่ยั่งยืนที่ผู้ประกอบการ SME จะต้องมีการตื่นตัวและปรับตัวเสียแต่ตอนนี้
เพราะในอนาคตสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือ
สินค้าที่ที่ส่วนทำร้ายสิ่งแวดล้อมโลกจะต้องเผชิญการกดดันอย่างหนัก
และอาจจะต้องหายไปในที่สุด