การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร
และส่วนใหญ่ก็มักจะมาแบบไม่คาดคิด
หรือที่ร้ายกว่านั้นก็คือมาในจังหวะเวลาที่ชวนให้ตึงเครียด อย่างเช่น เวลาเดินทาง
อยู่ไกลบ้าน หรือบางทีก็อาจไม่หนักหนาอย่างที่คุณคิด แต่ก็อาจจะดีกว่าหากได้รับคำปรึกษาจากผู้ที่รู้จริง
ซึ่งจะช่วยให้คลายกังวลได้
ยิ่งในวิกฤตโควิด 19
จึงเป็นโอกาสที่ระบบบริการสุขภาพของไทยควรจะได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้มีมาตรฐานที่ดียิ่งขึ้น
สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะโรคอุบัติใหม่
โดยใช้ช่วงจังหวะที่คนไทยหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้นเป็นแรงหนุน นำบริการทางการแพทย์ในรูปแบบใหม่ๆ
มาใช้ในการรักษา
หนึ่งในนั้นคือการยกระดับบริการทางการแพทย์ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้
เกิดเป็นบริการระบบสุขภาพวิถีใหม่ ที่เรียกว่า Telemedicine
(โทรเวชกรรม) หรือระบบแพทย์ทางไกล
เดิมทีเทคโนโลยีการรักษาแบบ Telemedicine เกิดขึ้นในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันหลายโรงพยาบาลในประเทศไทยก็ค่อยๆ เริ่มนำมาปรับใช้กับการรักษา โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด 19 ยิ่งกระตุ้นให้โรงพยาบาลหันมาใช้วิธีการรักษาแบบ Telemedicine เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อการรักษาในช่วงเวลาเหล่านี้มากยิ่งขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในเรื่องของการเดินทาง ประหยัดเวลาในการรอคิว ลดโอกาสที่ผู้ป่วยต้องออกจากบ้าน และลดจำนวนคนภายในโรงพยาบาล
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การบริการแพทย์ทางไกลกับแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
- การปรึกษาแพทย์ทางไกล
(Health Teleconsultant) : คือการที่ผู้ป่วยสื่อสารกับแพทย์ทั้งผ่านระบบ แชท (Chat) หรือผ่านระบบ Video Conference ซึ่งแพทย์สามารถซักถามและสังเกตอาการผู้ป่วย
เพื่อวินิจฉัยโรคได้เสมือนผู้ป่วยได้เข้ามาพบแพทย์ด้วยตนเองที่โรงพยาบาลหรือคลินิก
และสถานพยาบาลบางแห่งยังอำนวยความสะดวกด้วยการให้บริการรับเจาะเลือดและจัดส่งยาตามแพทย์สั่งให้คนไข้ถึงบ้านอีกด้วย
การปรึกษาแพทย์ทางไกลมีแนวโน้มจะได้รับความนิยมมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
(Non-Communicable Diseases
NCDs) อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคหัวใจ
ที่จะต้องพบแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามอาการและต้องรับประทานยาต่อเนื่อง
เนื่องจากผู้ป่วยไม่ต้องเสียเวลานั่งรอรับบริการ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ที่สำคัญยังเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วย NCDs
จะได้รับเชื้อโรคอื่นๆ ระหว่างเดินทางมาพบแพทย์
- การผ่าตัดทางไกล (Telesurgery)
: เป็นการใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยให้แพทย์สามารถผ่าตัดผู้ป่วยได้แม้จะอยู่ต่างสถานที่กัน
โดยมีเทคโนโลยี 5G เข้ามาเป็นส่วนสำคัญทำให้ภาพการผ่าตัดคมชัดและแสดงผล
Real Time มากขึ้น โดย Global Market Insights คาดว่าตลาดหุ่นยนต์เพื่อการผ่าตัดของโลกจะมีมูลค่า 24
พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เทียบกับปี 2561 ที่มีมูลค่า 5.5
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 23 ต่อปี
- การติดตามผู้ป่วยระยะไกล
(Remote Patient Monitoring) : เป็นการนำอุปกรณ์ตรวจวัดการทำงานของร่างกาย
อาทิ ค่าความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิร่างกาย ติดตั้งที่สถานที่พัก
หรือพกติดตัว โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะส่งผลการตรวจวัดให้แพทย์รับทราบตามช่วงเวลา
ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาสถานพยาบาลบ่อยครั้งเพื่อตรวจวัดค่า
อีกทั้งแพทย์ยังสามารถดูแลผู้ป่วยได้ทันการณ์หากค่าการตรวจวัดแสดงถึงความผิดปกติ
อาทิ ความดันโลหิตสูงในระดับอันตราย หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
โดยอาจส่งทีมแพทย์เข้าไปรักษา หรือแจ้งให้ผู้ป่วยปรับยาที่รับประทาน
หลายครั้งพบว่าแพทย์รับทราบความผิดปกติจากข้อมูลที่ส่งมาก่อนที่ผู้ป่วยจะสังเกตพบอาการผิดปกติของตนเอง
และแพทย์สามารถให้การรักษาผู้ป่วยก่อนเกิดภาวะวิกฤตได้
การติดตามผู้ป่วยระยะไกลจึงมีส่วนช่วยชีวิตผู้ป่วยตั้งแต่เนิ่นๆ
คิดค้นนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ๆ โอกาสสร้างธุรกิจควบคู่
Telemedicine
การที่โลกก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) มีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
(NCDs) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยหลักในการใช้บริการแพทย์ทางไกล
ไม่ว่าจะเป็นการปรึกษาแพทย์ทางไกล และการติดตามผู้ป่วยระยะไกล
ความนิยมใช้บริการแพทย์ทางไกลที่เพิ่มขึ้นนี้ยังสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย
ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและส่งออกชุดทดสอบทางการแพทย์ (Test
Kits) รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการให้บริการแพทย์ทางไกล เช่น
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ตรวจวัด แผงวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ HDD รวมถึงผู้พัฒนาระบบ Software และแอปพลิเคชัน
โควิด 19 ตัวเร่ง Telemedicine โตแบบก้าวกระโดด
จากข้อมูลของ บลู ครอสส์ บลู ชิลด์
ออฟ แมสซาชูเซตส์ บริษัทประกันสุขภาพเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า
ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีการเรียกร้องสินไหมประกันสุขภาพที่เกี่ยวกับ Telemedicine และ TeleHealth ราว
200 ครั้งต่อวัน ต่อมาในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563
ตัวเลขสูงขึ้นถึง 40,000 ครั้งต่อวัน
ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 30,000 ครั้งต่อวัน
ที่น่าสังเกตคือการเข้ารับการตรวจสุขภาพทางไกลในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
และส่วนใหญ่เป็นการนัดหมายปรึกษาด้านสุขภาพจิต
สอดคล้องกับรายงานปี 2563
ของบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช ที่ระบุว่า
ตลาดเทเลเมดิซีนกำลังเติบโตอย่างมาก โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือ การเพิ่มขึ้นของภาวะเรื้อรังและความต้องการดูแลตนเอง
ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งตลาด Telemedicine ทั่วโลกในปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571
จะขยายตัวในอัตราการเติบโตต่อปีที่ 22.4% ตามการเพิ่มขึ้นของความต้องการของผู้บริโภค
การยอมรับของผู้ป่วย และคุณภาพการดูแล
Telemedicine โอกาสสำหรับบริการทางการแพทย์ยุคใหม่
ซึ่งสามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพและยกระดับมาตรฐานระบบบริการสุขภาพ ถึงแม้จะไม่สามารถทดแทนบริการทางการแพทย์แบบเดิมได้
และยังไม่สามารถใช้กับทุกโรคทุกอาการได้
แต่ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีในการลดความเสี่ยงจากการเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาล
โดยเฉพาะในวันที่ทุกคนยังต้องสวมหน้ากากอนามัยออกจากบ้านและระยะห่างทางสังคมยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
แหล่งอ้างอิง :