คุณธนพงษ์ ณ ระนอง Head of Venture Capital Team (VC) จาก Intouch Holdings (AIS) ผู้มองเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองการบริการให้กับลูกค้าเอไอเอส มองว่า ในอดีตเอไอเอสต้องซื้อนวัตกรรมจากต่างประเทศเข้ามา ทำให้เงินตราไหลออกนอกประเทศ และการที่ซื้อมาทุกครั้งก็ไม่ใช่ว่า การให้บริการจะสำเร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ครบถ้วนทุกครั้ง ทางกลุ่มบริษัทฯ จึงมองว่า นอกจากการซื้อเทคโนโลยีเข้ามาแล้ว คนไทยเองก็มีความสามารถ แต่อาจขาดเงินทุนในการพัฒนาสนับสนุน ดังนั้นในฐานะที่ตนมีประสบการณ์มาก่อน จึงได้มาดูโครงการ Venture Capital ให้กับบริษัทฯ และเป็นที่มาของการตั้ง InVent เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
เด็กรุ่นใหม่ที่เป็น สตาร์ทอัพล้วนมีศักยภาพที่จะผลิตของออกมาให้มีคุณภาพ ไม่ด้อยกว่าต่างชาติ แต่ขาดเงินทุน ขณะเดียวกันก็รอโอกาสจากผู้ใหญ่มาสนับสนุน อีกทั้งยังได้รับโมเดลการสนับสนุนสตาร์ทอัพมาจากต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น Facebook ที่เริ่มต้นจากนักศึกษาทำนวัตกรรม ผลิตแอปพลิเคชั่นออกมา เมื่อเริ่มเกิดกระแสความนิยมก็มีนักลงทุนเข้ามาให้การสนับสนุน จนเติบโตกลายเป็นบริษัทระดับโลก โดยส่วนตัวมองว่าโมเดลแบบนี้น่าจะไปได้ดีในเมืองไทย เพื่อให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ได้พัฒนาโปรดักต์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และยังช่วยมองหากลุ่มลูกค้าให้สตาร์ทอัพอีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน คุณวรวุฒิ อุ่นใจ นักศึกษาปริญญาโทเริ่มเขียนโปรเจ็คต์จบด้วยโครงการบริษัท Office Mate และเมื่อเรียนจบก็ได้นำมาโครงการบริษัท Office Mate มาเปิดเป็นบริษัทขึ้นจริงขึ้นมา ซึ่งการทำตลาดของ Office Mate คือสิ่งที่ในตลาดยังไม่มีมาก่อน โดยทำการขายเครื่องใช้สำนักงานผ่านแค็ตตาล็อกและเว็บไซต์
ในอดีตนั้น Office Mate เป็นบริษัทแรก ๆ ของประเทศที่ขายเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงานผ่านเว็บไซต์มาได้ 16 ปี มี ยอดขายปีละประมาณระดับพันล้านบาท ซึ่งก็คือยอดขายรวมออนไลน์และออฟไลน์ที่ขายหน้าร้า มีประมาณ 6 พันล้านบาท จนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว Office Mate ได้ทำการจับมือกับ Central Group เป็นเซ็นทรัล ออนไลน์ (Central Online หรือ COL) บริหารออฟฟิศเมท บีทูเอส และเซ็นทรัลออนไลน์ พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบในชื่อ www.central.co.th
เริ่มแรกของการทำธุรกิจโดยเฉพาะในยุคเมื่อ 20 ปีก่อน ต้องกู้เงินจากธนาคาร ซึ่ง คุณวรวุฒิ อธิบายว่า โชคดีที่ตอนนั้นธนาคารให้กู้ได้ในจำนวนมาก แม้ว่าจะมีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่มาก แต่ได้ทำการขอกู้แบงก์โดยเขียนแผนงานธุรกิจเสนอ ซึ่งแบงก์ก็อนุมัติด้วยดอกเบี้ย 3.4% ถือว่าโหดมาก และปีแรกของการขายยอดอยู่ที่ 20–30 ล้านบาท จากนั้นผ่านมา 15 ปี Office Mate ก็กลายเป็นบริษัทมหาชน จากสตาร์ทอัพ SME ก็กลายเป็นบริษัทใหญ่ เมื่อบริษัทฯ ขยายได้ในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ยอดขายของซีโอแอล กรุ๊ป ซึ่งเป็นชื่อใหม่เต็ม ๆ คือ Central Online (ชื่อเดิมคือ Office Mate) ก็ทะลุหมื่นล้านบาท เป็นความฝันเดิมสมัยตอนเป็นสตาร์ทอัพ และหากว่าสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มีความฝันเหมือนกับตน ได้รับแรงสนับสนุน ทั้งเงินทุน แนวคิด และวิธีการทำงาน โดยส่วนตัวคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กรุ่นใหม่อย่างมาก
“เช่นเดียวกันกับเอไอเอส ซึ่ง Central Group เองก็ต้องการเทคโนโลยี การที่ต้องไปซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามา บางทีก็อาจไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย แต่หากได้คนไทยมาคิดค้นปรับให้ตรงกับสภาพพฤติกรรมของคนไทย จึงเป็นที่มาที่ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Central Group หรือแม้แต่เอไอเอสเองที่ต้องการสนับสนุนสตาร์ทอัพ
ขณะนี้ ซีโอแอล กรุ๊ป ในเครือ Central Group ก็ได้สนับสนุนสตาร์ทอัพได้ 2 ปีกว่า ได้ทำการพูดคุยกว่าสองร้อยบริษัท แต่มีหนึ่งบริษัทที่ดิวจบ และสามารถสร้างกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 500% ซึ่งลักษณะการให้การสนับสนุน ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปจัดการบริหาร แต่ทำการสนับสนุนด้านแหลงเงินทุนและฐานลูกค้า ทำให้บริษัทเหล่านี้เติบโตเร็ว และซีโอแอล กรุ๊ป ก็ยังมีแผนที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพมากขึ้นอีกด้วย” คุณวรวุฒิกล่าว
สำหรับการคัดเลือกสนับสนุนสตาร์ทอัพทั้งสองท่านล้วนมีความเห็นที่ตรงกันว่า เทคโนโลยีรูปแบบธุรกิจที่เสนอมาของ สตาร์ทอัพต้องมีความสอดคล้องหนุนกับธุรกิจในเครือ อย่างเช่น Central Group หรือเอไอเอสที่เน้นด้านช็อปปิ้งและการสื่อสาร การที่นวัตกรรมของสตาร์ทอัพที่จะได้รับการคัดเลือกสนับสนุน จะต้องมีความสอดคล้องกับธุรกิจในเครือ
ถ้ามาขายเทคโนโลยีพลังงาน ก็ควรไปหา SCG แต่จะเข้าหา Central Group จะต้องมีนวัตกรรมที่ตรงกับโปรดักส์ในเครือ ยกตัวอย่าง สตาร์ทอัพที่ออกแบบแอปพลิเคชั่นเพื่อหนุนให้มีการซื้อขายออนไลน์ การจองโรงแรม เช็กอิน–เช็กเอ้าท์โรงแรม เป็นต้น
ข้อควรระวังสำหรับสตาร์ทอัพหลังจากได้เงินสนับสนุนนั้น คุณวรวุฒิ กล่าวว่า เรื่องของการบริหารจัดการเงิน เพราะสตาร์ทอัพส่วนใหญ่เป็นเด็กจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการบริหารธุรกิจ จึงเป็นเรื่องยากหากได้เงินทีเดียว 10 ล้านบาท จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพที่ล้มเหลวมีบางส่วนเช่นกัน ที่ไม่สามารถบริหารจัดการกับจำนวนเงินมหาศาลที่ได้มา เพราะฉะนั้นหาก สตาร์ทอัพสามารถหาพาร์ทเนอร์ที่ดีได้ โดยมีความพร้อมที่จะสนับสนุนทั้งการเงินและคำปรึกษาที่จะช่วยสตาร์ทอัพเหล่านี้ได้
ด้านคุณธนพงษ์ แนะนำเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มทุนผู้ให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพ หรือที่เรียกว่า Venture Capital จะมีสองรูปแบบคือ Venture Capital และ Coverage Venture Capital ซึ่งทั้ง Central Group และ InTouch (AIS) เป็นลักษณะของ Coverage Venture Capital ซึ่งเงินทุนมาจากบริษัทฯ ซึ่งสามารถระบุได้ว่าเป็นการลงทุนไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรองรับลูกค้า มีการให้เงินทุน คำแนะนำ และฐานลูกค้า แต่ Venture Capital จะนำเงินทุนมาจากคนอื่นและนำมาลงทุนต่ออีกที ซึ่งต้องกลับไปให้คำตอบผู้ให้เงินลงทุนว่าจะทำกำไรอย่างไร มีผลตอบแทนอย่างไร ทำให้ Venture Capital ที่ลงทุนกับสตาร์ทอัพ จะกดดันให้สตาร์ทอัพโตไวขึ้น ซึ่งโดยพื้นฐานสตาร์ทอัพเองยังไม่มั่นคง เน้นสร้าง Value บริษัทมากกว่าการสร้างฐานลูกค้า สิ่งนี้จะทำให้เกิดฟองสบู่สตาร์ทอัพในอนาคต
การคัดเลือกเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพนั้น ซีอีโอแห่งซีโอแอล กรุ๊ป จาก Central Group กล่าวว่า บริษัทสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกนั้น จะไม่เน้นบริษัทที่มี Value มาก แต่จะดูองค์กระกอบ Concept Business, Demand, Team, Key Person และมีความมั่นใจในตัวเองเกินไปหรือไม่ เพราะธุรกิจสตาร์ทอัพหากมีการนำเสนอโปรเจ็คต์แล้วจะต้องปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาด และกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด เพราะเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะผลิตสินค้าออกมาแล้วสามารถโดนใจลูกค้าทันที ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือหากติดตลาดแล้วทุกอย่างต้องมีการพัฒนาและวิวัฒนาการสินค้า หากสตาร์ทอัพที่มีความมั่นใจเกินไปจะเปลี่ยนแปลงยาก บุคลิกของสตาร์ทอัพแบบนี้จะเลี่ยง
คุณธนพงษ์ ณ ระนอง Head of Venture Capital Team จาก Intouch Holdings (AIS) กล่าวว่า ลักษณะสตาร์ทอัพที่ผ่านการคัดเลือกจะคล้ายกับที่ คุณธนพงษ์ กล่าวไว้ และจะดูที่ตัวโปรดักต์ว่าตอบโจทย์หรือไม่ สามารถแก้ไขปัญหาที่ลูกค้าต้องการได้ จะทำให้ลูกค้ามีความต้องการสินค้าต่อเนื่อง ซึ่งนิยามของสตาร์ทอัพก็คือการคิดค้น Innovation ที่ไม่เคยมีมาก่อน สามารถเติบโตและพัฒนาต่อได้
แต่อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกมากจากหลายปัจจัย อันดับแรกคือ ต้องมีโปรดักต์ตอบโจทย์ตลาด และความต้องการที่ใหญ่พอ สามารถเติบโตได้ ไม่ใช่ความต้องการกลุ่มเล็กและไม่สามารถเติบโตได้ รวมถึงนวัตกรรมที่เสนอต้องไม่สามารถมีคู่แข่งที่สามารถทำเลียนแบบได้ในระยะเวลาใกล้ สุดท้ายคือ ความสามารถ ประสบการณ์ของบุคคล ว่ามีความรู้ความ เข้าใจท่องแท้หรือไม่
นอกจากนี้ อยากฝากไปถึงสตาร์ทอัพอีกว่า ไม่อยากให้กลัวที่จะเข้ามาคุยกับ VC (Venture Capital) แม้ว่าตัวนวัตกรรมอาจไม่สอดคล้องกับธุรกิจในเครือ แต่ VC อย่างคุณวรวุฒิ แนะนำว่า ถ้าตัวโปรดักต์มีน่าสนใจและตัว Central Group มองเห็นตลาดว่ามีความต้องการสินค้าแบบนี้ ก็สามารถแนะนำได้ ช่วยช่องทางการขายได้ หรือแนะนำ VC ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่พร้อมจะสนับสนุนสตาร์ทอัพได้
เช่นเดียวกับ คุณธนพงษ์ Head Team VC จากเอไอเอสยังมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับคุณวรวุฒิ อีกด้วยว่า โดยส่วนตัวเป็นนายกสมาคม VC จึงไม่อยากให้สตาร์ทอัพกลัวที่จะเข้ามาพูดคุยเสนอโปรเจ็คต์ เพราะแม้ว่าคอนเซ็ปต์ธุรกิจจะไม่ตรงกับธุรกิจในกรุ๊ป แต่ว่าสามารถช่วยให้คำแนะนำได้ว่าสตาร์ทอัพแบบนี้ ธุรกิจใดบ้างต้องการพาร์ทเนอร์อยากร่วมลงทุนด้วย หรือควรจะเข้าไปคุยกับใคร
สตาร์ทอัพห้ามกลัว เมื่อเจอ VC ควรวิ่งเข้าหา เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่จะได้อย่างน้อยก็ได้คำแนะนำกลับไป ซึ่งจะสามารถสานต่อได้อีก” คุณธนพงษ์กล่าว
Bangkok Bank SME มีบริการสินเชื่อเพื่อการส่งออกในหลายผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองทั้งวงจร ท่านสามารถส่งสินค้าขายถึงปลายทางด้วยบริการแบบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สายด่วน โทร.1333