จีนเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ปี 2015 ที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของจีนอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ซึ่งจีนจัดอยู่ในฐานะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลกเช่นกัน
สำหรับในปี 2016 จีนมีการใช้นโยบายเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 2016 – 2020 ซึ่งมุ่งเน้นปฏิรูปโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยตั้งเป้า GDP ตลอดการใช้นโยบายที่ร้อยละ 6.5 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ช่องการทางค้าที่ทวีความสำคัญและโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีการซื้อขายสูงถึงร้อยละ 90 คือ E-Commerce ผ่านระบบ online ใน Smart Phone มากกว่า 3 ล้านล้านหยวน
ด้านการค้าระหว่างไทย – จีน ในปี 2015 ที่ผ่านมาจีนถือว่าเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของจีน ซึ่งอัตราการนำเข้าสินค้าจากข้อมูล World Trade Atlas เปิดเผยว่า ไทยและจีนมีมูลค่าการค้าที่ขยายตัว 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2015 การนำเข้าอยู่ที่ 34,870 ล้านเหรียญสหรัฐ และการส่งออกอยู่ที่ 33,670 ล้านเหรียญสหรัฐ
สินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ เม็ดพลาสติก ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน 5 อันดับแรกประกอบด้วย เครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ในบ้าน คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์
ลักษณะผู้บริโภคจีนยุคใหม่จากความที่มีรายได้และการศึกษามากขึ้น ทำให้ผู้บริโภครุ่นใหม่ในจีนมีความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ นิยมสินค้าที่บ่งบอกถึงฐานะรายได้ทั้งของกินและของใช้ ซึ่งจุดแข็งของสินค้าไทยคือ ความง่ายในการขนส่ง มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้บริโภคชาวจีน มีเอกลักษณ์ของสินค้าไทย และสื่อจีนเข้าถึงข้อมูลของสินค้าจากไทยมากขึ้น
สำหรับโอกาสในตลาดจีนของไทยมีมากขึ้น จากการที่จีนเริ่มพัฒนาตลาดบริโภคภายในประเทศมากขึ้น รวมถึงนโยบายลูกสองคน นโยบายขยายเขตเมือง และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในเขตชนบท เพื่อขยายตลาด E-Commerce แต่ขณะที่ไทยมีจุดอ่อนคือ ขาดความรู้เกี่ยวกับภาษาจีน และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับตลาดจีน รวมถึงมาตรการด้านการตรวจสอบสินค้า และขั้นตอนทางศุลกากรที่ไม่นิ่ง
กลยุทธ์การทำการตลาดสินค้าไทยในจีน ผู้ประกอบการต้องสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย สร้าง Positioning ให้กับสินค้า สร้างจุดเด่นให้กับสินค้า มีเอกลักษณ์ เน้นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า เรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีน แล้วปรับสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงศึกษาช่องทางการตลาดรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ผู้ประกอบการต้องเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ เพื่อหาคู่ค้าทางธุรกิจ โดยไม่ลืมที่จะรู้จักและเข้าใจในสินค้าของคู่แข่งให้มากขึ้น
ผู้ประกอบการต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการเจาะตลาดผู้บริโภค โดยเน้นไปที่ผู้บริโภคระดับบน และศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในพื้นที่แต่ละเขตของจีนก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป กำหนดตำแหน่งของสินค้า และพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น สำหรับตลาดบน สินค้าต้องมีนวัตกรรม บรรจุภัณฑ์สวยงามน่าใช้ แม้ว่าราคาและคุณภาพจะเป็นปัจจัยหลัก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอย่าลืมว่ากลยุทธ์นั้นต้องเข้ากับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วย
ขั้นตอนการขอจดทะเบียนการค้าในจีน
1. ตรวจสอบเครื่องหมาย โดยติดต่อศูนย์บริการเครื่องหมายการค้า Tongda (TDTM) ด้วยตนเอง หรือผ่าน Agent เพื่อตรวจสอบเครื่องหมาย ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 60-240 หยวน
2. ใช้เวลาตรวจสอบ 1 เดือน และยื่นเอกสารขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
3. ส่วนใหญ่ดำเนินการผ่าน Agent (เพื่อความสะดวก) ค่าบริการต่อหมวดสินค้า 1 รายการ ประมาณ 2,000-3,000 หยวน ขึ้นอยู่กับ Agent แต่ละแห่ง
4. จากนั้นจะประกาศผลการตรวจครั้งแรก และออกเอกสารรับรองการยื่นจดฯ ให้ใช้ตราสินค้าได้ แต่หากมีการถูกละเมิดในภายหลัง สามารถฟ้องร้องได้
5. เมื่ออนุมัติเครื่องหมายฯ จะประกาศให้ประชาชนทราบ
6. เครื่องหมายฯ มีอายุ 10 ปี
ทั้งนี้ สินค้าเป้าหมายในตลาดจีนประกอบด้วย สินค้าเกษตร อาหาร ธุรกิจบริการร้านอาหาร ธุรกิจบริการเพื่อสุขภาพ และธุรกิจบริการโลจิสติกส์ โดยสินค้าผลไม้ของไทยที่ได้รับความนิยมถล่มทลายในจีน อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียน ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง มะพร้าว เงาะ และมังคุด สำหรับสินค้าอาหารที่น่าจับตามอง ประกอบด้วย เครื่องปรุงรส เครื่องดื่ม สินค้าฮาลาล ธุรกิจบริการร้านอาหารไทย และธุรกิจบริการโลจิสติกส์