หลังจากตลาดขนาดใหญ่อย่าง 10 ประเทศในกลุ่ม AEC เกิดขึ้นแล้ว ได้สร้างมูลค่ามหาศาลถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีประชากรรวมกว่า 622 ล้านคน มีกิจกรรมทางการตลาดอย่างเสรี ทั้งเรื่องสินค้า บริการ และแรงงานนั้น
แหล่งข่าวในอาเซียนเปิดเผยเกี่ยวกับกัมพูชาว่า รัฐบาลกัมพูชาต้องการให้ประเทศของตนหลุดพ้นจากรายชื่อประเทศที่มี GDP เติบโตช้าที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมี 7% ต่อปี หากแก้ปัญหานี้ได้ ก็จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ให้เข้ามายังกัมพูชาได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อมองออกไปยังนอกกลุ่มประเทศอาเซียน ก็พบว่า แรงงานไร้ฝีมือส่วนใหญ่จากกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร ย้ายถิ่นฐานไปสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้แก่ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจากสหราชอาณาจักร ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในเวียดนาม โดยเข้าไปในฐานะเป็นเจ้าของธุรกิจ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การเดินทางหรือย้ายถิ่นฐานของแรงงานหรือผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศอาเซียน กลายเป็นเรื่องง่าย และเมื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากเท่าไร การเคลื่อนย้ายดังกล่าว ก็จะยิ่งง่ายและเกิดขึ้นจำนวนมากกว่าเดิม
แหล่งข่าวให้ความเห็นต่อมาว่า แต่นั่นก็เท่ากับว่า จะมีความเสี่ยงเกิดขึ้น นั่นคือ การแพร่กระจายของโรคมาลาเรียที่ดื้อยา ซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศสมาชิกอาเซียนตามอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ได้แก่ กัมพูชา ไทย ลาว เวียดนาม และพม่า ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อยู่ในกลุ่มอาเซียนเช่นกันนั่นเอง
ทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า มีความกังวลว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โรคมาลาเรียอาจจะกลายพันธุ์ จนไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างยา artemisinin เป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในขณะนี้