สคร.เวียนนา เผยกฎหมายภาษีล่าสุด ด้านกลุ่ม SVI ไทย เข้าซื้อธุรกิจในออสเตรีย
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงของ บริษัท SVI public company limited ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย เข้าซื้อกลุ่ม Seidel Electronics ของออสเตรียแบบ 100% ด้วยมูลค่าหลักสิบล้านยูโร และนับว่าเป็นผู้ลงทุนโดยตรงจากประเทศไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในออสเตรีย ขณะนี้กำลังตรวจสอบการซื้อขายโดยหน่วยงานคุ้มครองการแข่งขันทางธุรกิจ
ทั้งสองบริษัทเป็นผู้ผลิตสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความชำนาญ ในปี 2557 SVI มีพนักงานกว่า 2,700 คน ผลประกอบการรวมทั้งสิ้น 257 ล้านยูโร มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ การเข้าไปลงทุนในออสเตรียจึงเป็นครั้งแรกที่ SVI จะมีโรงงานผลิตในภูมิภาคยุโรป นอกจากมีโรงงานการผลิตในออสเตรียแล้ว ยังมีโรงงานการผลิตในฮังการี สโลวะเกีย และสโลวีเนียอีกด้วย
การเข้ามาทำธุรกิจครั้งนี้จะทำให้ SVI ขยายธุรกิจได้ครอบคลุมอยู่ในภูมิภาคยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2557 สำหรับบริษัท Seidel Electronics Group มีพนักงานรวม 700 ตำแหน่ง และมีรายได้ 90 ล้านยูโร ซึ่ง SVI คาดการณ์ว่า การควบรวมบริษัทฯ ครั้งนี้จะทำให้ความสามารถเพิ่มผลประกอบการขึ้นไปได้ที่ 400 ล้านยูโร
ด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประจำกรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย แนะนำผู้ประกอบการไทยว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ของ SVI นับว่าเป็นตัวอย่างสำคัญของไทยที่ขยายความแข็งแกร่ง ด้วยการเข้าไปปักหลักการผลิตในตลาดโดยตรง การลงทุนตรงในต่างประเทศช่วยลดปัญหาทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น กฎระเบียบข้อบังคับทางกฎหมาย โดยเฉพาะการควบคุมมาตรฐานสินค้า รวมถึงต้นทุนที่เกิดจากภาษีและการขนส่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยจากภายนอกอีกด้วย
นอกจากธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังมีธุรกิจในสาขาการท่องเที่ยว การโรงแรม ร้านอาหาร ซึ่งเป็นจุดแข็งของผู้ประกอบการไทยด้านธุรกิจในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม ก็เป็นจุดแข็งของออสเตรียที่ไทยควรเข้าไปแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาและขยายตลาดสินค้าของตนต่อไป
สคร. ประจำกรุงเวียนนา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ออสเตรียปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ เพื่อบรรเทาภาระทางภาษีให้กับประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 โดยใช้วิธีการคำนวณภาษีเงินได้แบบใหม่ ซึ่งช่วยให้ประชาชนในวัยทำงานและผู้เกษียณอายุ ที่รับเงินบำนาญทั่วประเทศกว่า 6.5 ล้านคน มีรายได้หลังจากหักภาษีเพิ่มขึ้น นโยบายนี้สามารถบรรเทาภาระภาษีกว่า 5,000 ล้านยูโร สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยและปานกลาง (รายได้ต่ำกว่า 4,860 ยูโรต่อเดือน) เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คิดเป็นร้อยละ 90 ของยอดเงินจากการลดภาษีนี้ เริ่มต้นที่ผู้รับเงินบำนาญ ที่มีจำนวนต่ำกว่า 1,100 ยูโรต่อเดือน นอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้แล้ว ยังจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมอีกด้วย หรือที่เรียกว่าอัตราภาษีติดลบ โดยภาพรวมของมาตรการจัดเก็บภาษีเงินได้ใหม่ สามารถสรุปได้ดังนี้
• อัตราภาษีต่ำลง เป็นร้อยละ 25
• จำนวนขั้นภาษีเพิ่มขึ้น จาก 3 ขั้น เป็น 6 ขั้น
• ผู้ที่มีรายได้เงินเหลือมากกว่าแต่ก่อน ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1,260 ยูโรต่อเดือน จะไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ หากแต่จะยังและมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 400 ยูโรต่อปี
• ปรับเพิ่มวงเงินขั้นต่ำสำหรับอัตราภาษีขั้นสูงสุด โดยปรับเลื่อนการคำนวณอัตราภาษีร้อยละ 50 สำหรับรายได้จำนวน 90,000 ยูโรต่อปี และร้อยละ 55 สำหรับรายได้จำนวน 1,000,000 ยู โรขึ้นไป
• ปรับเพิ่มอัตราลดหย่อนสำหรับบุตรขึ้นเป็นสองเท่า จาก 220 ยูโรต่อปี ขึ้นเป็น 440 ยูโรต่อปีต่อคน
• เพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปทำงาน (commuter) สูงขึ้นเป็น 500 ยูโรต่อปี
นอกจากนี้ ในประเทศออสเตรียมีการจ่ายเงินเดือนปีละ 14 เดือน เป็นเงินเดือน 12 เดือน และเงินโบนัส 2 เดือน (สำหรับการหยุดพักผ่อนประจำปี 1 เดือน และเทศกาลคริสต์มาส 1 เดือน) ซึ่งส่งผลให้ประชากรถูกจัดอันดับอยู่ในประเทศที่มีรายได้สูงของโลก แต่การที่เศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำกว่าเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ก็ทำให้มาตรการนี้ดูจะไม่เพียงพอ
ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และสิ่งที่เห็นผลเร็วคือ การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ให้ประชาชนมีรายได้หลังจากหักภาษีเพิ่มขึ้น ออสเตรียจึงเป็นประเทศที่ประชากรซึ่งเป็นผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมาก แต่มีการเก็บออมน้อย
ทั้งนี้สินค้าที่มีอัตราการขยายตัวสูง และเป็นที่น่าสนใจของผู้ประกอบการไทยในตลาดออสเตรีย ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว