กระแสความตื่นตัวสำหรับ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’หรือ EV (Electric Vehicle)ในประเทศไทย เริ่มมีความตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การสนับของภาครัฐในการผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งกระแสโลกในปัจจุบันเชื่อว่าเป็นพลังงานที่ ‘สะอาด’ กว่าการใช้พลังงานฟอสซิล ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมา กระแสการลงทุนในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ผู้ผลิตและนำเข้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ต่างเริ่ม ‘ชิมลางตลาด’ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าท่ามกลางข้อกังขาถึงกระแสผู้บริโภคที่จะมีการปรับเปลี่ยนจากรถยนต์แบบเดิมๆ ไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้หรือไม่ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สถานีชาร์ทเชื้อเพลิง ที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญในประเทศไทย
ทั้งนี้ ภายใต้การส่งเสริมการลงทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้มอบสิทธิพิเศษบริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560 มีมติเห็นชอบต่อมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยที่เสนอโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยแบ่งเป็น 6 มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่รถยนต์EV คือ 1.การสร้างอุปทาน 2.มาตรการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ 3.การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน 4.การจัดทำมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า 5.การบริหารจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว 6. มาตรการอื่นๆ เช่นการพัฒนาระบบรับรองคุณภาพบุคลากร
ชงมาตรการด้านภาษีกระตุ้นการลงทุนEV
การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ตามประเภทของรถยนต์ไฟฟ้า 3 แบบ คือ รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า (hybrid electric vehicle : HEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (plug-in hybrid electric vehicle : PHEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (battery electric vehicle : BEV)
โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ โดยมีกิจการที่ได้รับการส่งเสริม 6 ประเภทกิจการ และต้องขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 โดยมีสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับ มีดังนี้ :
เด้งที่ 2 ลดภาษีสรรพสามิต
ขณะที่ประกาศลดภาษีสรรพสามิตโดยกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 138 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 สำหรับยานยนต์ 4 ประเภท ได้แก่
รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pick-up Passenger Vehicle: PPV) ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ลูกบาศก์เซนติเมตร และเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (HEV) ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 175 กรัมต่อกิโลเมตร ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตลงเหลือร้อยละ 23
รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (Double Cab) ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ลูกบาศก์เซนติเมตร และเป็นรถยนต์แบบแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (HEV) ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตลงเหลือร้อยละ 10
รถยนต์นั่งแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (HEV) ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตลงกึ่งหนึ่งของอัตราภาษีที่ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2534 ซึ่งจะเหลืออัตราภาษีสรรพสามิตในช่วงระหว่างร้อยละ 5 – 15
รถยนต์นั่งแบบพลังงานไฟฟ้า (EV) ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตลงเหลือร้อยละ 2โดยผู้ที่จะได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตดังกล่าว ต้องได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
รวมทั้ง ต้องยื่นความประสงค์ขอรับการลดอัตราภาษีสรรพาสามิตก่อนเริ่มผลิตรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า และรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 และตั้งแต่ปีที่ 5 นับแต่วันที่ทำข้อตกลงกับกรมสรรพสามิตจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 รถยนต์แบบผสมหรือรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ผลิตทุกคัน ต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตหรือประกอบจากผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนประเภทลิเที่ยมไอออน หรือนิกเกิลเมทัลไฮไดรด์ หรือแบตเตอรี่ประเภทอื่นที่ให้พลังงานจำเพาะโดยน้ำหนัก (Wh/kg) ที่สูงกว่า
โปรดติดตามบทสรุป ‘การส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า –อนาคตยานยนต์ไทย’ ในตอนที่ 2 ที่จะให้ข้อสรุปและแนวโน้มสำหรับอนาคตยานยนต์EVในประเทศไทย