เห็นได้ชัดว่าภายใต้นโยบายการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะในภาคที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น ไทยไม่สามารถต่อกรกับเวียดนามได้อีกต่อไป ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยังย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามด้วยเช่นกัน นี่สะท้อนได้อย่างดีถึง การเป็นฮับด้านการผลิตที่เวียดนามมีจุดแข็งที่โดดเด่นอย่างมาก โดยเราได้มีการประเมินไว้ดังนี้ :
1.แรงงานพร้อม ครึ่งหนึ่งของประชากรเวียดนาม 90 ล้านคน อายุต่ำกว่า 30 ปี เป็นช่วงอายุที่อยู่ในวัยแรงงาน มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ แรงงานเวียดนามนอกจากจะสู้งานแล้ว ยังค่าแรงถูกเมื่อเทียบประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน รวมทั้งเวียดนามเป็นประเทศที่มีชนชั้นกลางที่เติบโตมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
2.ทรัพยากรธรรมชาติพร้อม เวียดนามมีพร้อมทั้งแร่ธาตุ น้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง และยังเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
3.ตลาดเข้าถึงง่าย องค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินว่า เอกชนเข้าสู่ตลาดเวียดนามได้ง่ายพอ ๆ กับสิงคโปร์ มีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดต่ำ (low limitation of market access) ขณะที่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และสปป.ลาว ยังมีข้อจำกัดในระดับปานกลาง
4.กฎหมายลงทุนฉบับใหม่เอื้อต่างชาติมากขึ้น กฎหมายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ของเวียดนามที่ออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ WTO เปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในเวียดนามได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม มีอิสระในการประกอบกิจกรรมทางธุรกิจมากกว่ากฎหมายเดิม กฎระเบียบเหล่านี้ช่วยเอกชนต่างชาติลดความเสี่ยงของการไปลงทุนในเวียดนาม
5.รัฐเปิดโอกาสให้ต่างชาติจัดทำความตกลงจัดซื้อกับภาครัฐ (Government Procurement Agreement) ผ่านการเปิดประมูลเมกะโปรเจกต์ที่มีมูลค่าสูง ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงการจัดซื้อของภาครัฐทั้งในระดับกระทรวง รัฐวิสาหกิจ ภูมิภาค ไปจนถึงจังหวัด
6.รัฐเร่งเครื่องเจรจาความตกลงทางการค้าเสรีกับต่างประเทศ ล่าสุด เวียดนามได้บรรลุ EU-Vietnam Free Trade Agreement (EVFTA) กับกลุ่มประเทศสมาชิกอียู ความตกลงดังกล่าวครอบคลุมการเปิดเสรีทั้งด้านการค้าสินค้า ด้านการบริการ รวมถึงการลงทุน คาดการณ์ว่า การได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าอียูที่เกือบจะเป็นศูนย์จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของเวียดนามไปกลุ่มประเทศอียูเติบโตอย่างก้าวกระโดด
7.เวียดนามตกลงเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจทางการค้าภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP โดยทั้งต่างชาติและเวียดนามเองต่างฟันธงว่า เวียดนามจะเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเข้าร่วม TPP ธนาคารโลกทำนายว่า TPP จะช่วยให้ GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้น 8-10% และการส่งออกขยายตัวสูงถึง 28 % โดยคาดว่าภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะเวียดนามส่งออกสิ่งทอไปยังประเทศสมาชิก TPP คิดเป็น 70% ของการส่งออกสิ่งทอทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าว่าจะโตได้ถึง 6% เงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) จะยังคงหลั่งไหลเข้าเวียดนาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามดูมีอนาคตสดใส ขณะที่ธนาคารแห่งชาติเวียดนามมีความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และเฝ้าระวังอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลก็ได้เร่งแก้กฎหมายต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ให้สอดคล้องกับข้อกำหนด TPP ที่ต้องเอื้อประโยชน์ต่อภาคลงทุนและภาคอุตสาหกรรม
ถึงตรงนี้ หากคนไทยยังมองเวียดนามว่าอ่อนด้อยก็ถือว่าพลาดมาก ขณะเดียวกันยิ่งมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งทางการค้าก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เพราะเอาเข้าจริงไทยก็ส่งของไปขายเวียดนามมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดอาเซียน
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333