จีน – สหรัฐ ฯ ใครคือผู้นำด้าน AI ตัวจริง

SME Update
25/02/2019
รับชมแล้วทั้งหมด 1894 คน
จีน – สหรัฐ ฯ ใครคือผู้นำด้าน AI ตัวจริง
banner
นับเป็นคำถามที่ยากจะตอบว่า จริงๆ ใคร คือเจ้าแห่งปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence : AI เพราะว่าเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันมันเพิ่มเริ่มต้นจึงยากที่จะระบุตอนจบ แต่หากอ้างอิงจาก PwC บริษัทด้านการตรวจสอบบัญชีระดับโลก ที่ได้รายงานและคาดการณ์ไว้ว่า AI จะมีผลช่วยให้ GDP ของเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้นถึง 14% หรือเพิ่มขึ้นถึง 15.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2030 โดยจีนจะเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของ AI และจะมีการเติบโตขึ้นสูงที่สุดคือ เพิ่มขึ้น 26% ซึ่งเป็นจำนวนถึง 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ


ยกแรก จีนชนะ ขึ้นแท่นเจ้าแห่ง AI

ด้านเศรษฐกิจและระบบการผลิตที่มีขนาดใหญ่มากของจีน ทำให้จีนมีศักยภาพมากในการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งในช่วงกลางทศวรรษ 2020 เทคโนโลยี AI ของจีนจะพร้อมส่งออกโกอินเตอร์ไปถึงสหรัฐฯ และแคนาดา นอกจากนี้เหล่าบริษัทและนักลงทุนของจีนเองยังมีแนวโน้มว่าจะลงทุน ส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจของ AI มากกว่าสหรัฐฯและยุโรปซะอีก

รายงานของ PwC ยังคาดการณ์ว่า ส่วนที่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดใน GDP โลกนั้นจะมาจากการเพิ่มผลผลิตแรงงานที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 6.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่ง PwC หวังว่าการที่เหล่า AI จะเข้ามาช่วยพนักงานและในกระบวนการผลิตนั้นจะช่วยเป็นการแก้ปัญหาการตกต่ำของการเติบโตผลผลิตที่ทั่วโลกเผชิญอยู่ในขณะนี้ด้วย

นอกจากนี้ส่วนอื่นๆ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกก็จะมาจากการความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และการบริการจากเหล่า AI ทั้งในภาคดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน และในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย

นับตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบันจีนมีบริษัทด้านเทคโนโลยี AI รวม 1,354 ราย ในปี 2560 มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 6.22 หมื่นล้านหยวน สูงขึ้นกว่าร้อยเท่าเมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มีการลงทุนเพียง 600 ล้านหยวน

บริษัทเทคโนโลยี AI ของจีนกำลังพัฒนาแบบก้าวกระโดด นาย David Weaver ประธานนักวิจัยสถาบัน Microsoft Research ประจำกรุงปักกิ่งเห็นว่า อนาคตของเทคโนโลยี AI เป็นการประลองชั้นเชิงระหว่างข้อมูล (Data) กับทรัพยากรบุคคลดังนั้น การที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI ของโลกนั้น ประเทศจีนจำเป็นต้องมีทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจำนวนมากเป็นตัวสนับสนุน

 

มองอีกมุม จีน –สหรัฐฯ ยังกินกันไม่ลง

อย่างไรก็ตาม รายงานวิเคราะห์การพัฒนาของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีAIจีนกับสหรัฐอเมริกาของสถาบัน Tencent Research ที่ระบุว่า ปัจจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI เป็นการต่อสู้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯประเด็นที่น่าสนใจ คือ

ด้านการลงทุน จีนกำลังไล่บี้สหรัฐฯ โดยมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีAI ของจีนอยู่ที่ 49,298 ล้านหยวนนักลงทุนจีนเน้นด้านการประยุกต์ใช้ โดยมีการลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่ คอมพิวเตอร์วิทัศน์(computer vision) ในสัดส่วน 23% การประมวลผลภาษาโดยธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) ในสัดส่วน 19% และการขับขี่อัตโนมัติ ในสัดส่วน 18%

ขณะที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับพื้นฐานเทคโนโลยีเช่นชิปการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการประมวลผลภาษาโดยธรรมชาติ (NLP)

ด้านการวิจัย จากการประเมินปริมาณวิทยานิพนธ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ พบว่า การวิจัยด้านเทคโนโลยีAI ของจีนได้พัฒนาอย่างรวดเร็วแผนการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของรัฐบาลจีนดึงดูดให้นักวิจัยชาวจีนในต่างประเทศกลับสู่ดินแดนมาตุภูมิ รวมถึงนักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลกที่หลั่งไหลเข้ามาในจีน

แต่ถ้าดูกันที่ขนาดเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ จะพบว่าขนาดทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยี AI จีนในขณะนี้ยังไม่เทียบเท่าอเมริกา (ประมาณครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ) ทั้งในแง่ของจำนวนกิจการและบุคลากรที่มีความสามารถ

เพราจุดอ่อนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI จีน คือ จีนขาดเทคโนโลยีที่เป็นแก่นหลักในการพัฒนา (core technology) อาทิ ชิป (Chip) ชุดคำสั่ง (algorithm) และทฤษฎีพื้นฐาน (theory of foundations) โดยบริษัทผลิตชิปและเทคโนโลยีแก่นหลักมีจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ จีนยังขาดบุคลากรด้านเทคโนโลยี AI คุณสมบัติของทีมนักวิจัยยังไม่อยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งมีภาวะอุปสงค์ส่วนเกิน (ความต้องการมีมากกว่าจำนวนบุคลากร)

แต่ประเด็นสำคัญ ประเทศจีนมีจุดแข็งในด้านข้อมูล (Data) อินเทอร์เน็ต และ Internet of Things (IOT)


ที่ผ่านมาจีนประกาศกร้าวจะขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งด้าน AI ของโลกในปี พ.ศ.2575 และมุ่งพัฒนาในด้าน AI ในทุกด้าน เพราะลึกๆ แล้วจีนทราบดีว่ายังอีกไกลที่จะมาชี้วัดว่าใครเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยี AI

มีอีกข้อมูลหนึ่งที่จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงรายงานของ Itihaasa ใช้ข้อมูลจาก Scimago จัดลำดับงานวิจัยปัญญาประดิษฐ์ของแต่ละประเทศผ่านจำนวนงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีการตรวจสอบ Peer Review พบว่าในช่วงปี 2558 -2560  จีนมีงานวิจัยด้าน AI 37,918 ฉบับ  สหรัฐฯ มีงานวิจัยด้าน AI 32,241 ฉบับ และอันดับ 3 คือ อินเดียมีงานวิจัยด้าน AI 12,135 ฉบับ

เบอร์หนึ่งกับสองนี่ไม่สงสัย แต่เบอร์ 3 นี่มาได้ยังไง แต่เดิม เคยเจอรายงานของ PwC ว่าอินเดียมีนักวิจัยด้าน AI ประมาณ 70 คน แต่สามารถผลิตงานวิจัยได้กว่าหมื่นฉบับ(เลยหรือ)

ปั๊ดโถ่ ...ไม่บอกก็รู้ว่า อินเดียก็หวังกับวงการ AI ไว้มากเช่นกัน
Bangkok Bank SME ราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333

Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

วางแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัวให้ราบรื่น สไตล์ไม่เครียด

วางแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัวให้ราบรื่น สไตล์ไม่เครียด

ธุรกิจครอบครัว (Family Business) เป็นหน่วยธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่กระจายตัวอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยการส่งต่อความสำเร็จในธุรกิจครอบครัวจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่ง…
pin
17 | 04/06/2025
งาน TFBO 2025 งานแสดงแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

งาน TFBO 2025 งานแสดงแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

พบกับงาน TFBO 2025 งานแสดงแฟรนไชส์และโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ Website: thailandfranchising.comวันที่:…
pin
12 | 30/05/2025
Net Zero คืออะไร ทำไม SME จึงควรเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ !

Net Zero คืออะไร ทำไม SME จึงควรเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ !

เข้าใจความหมายของ Net Zero แตกต่างจาก Carbon Neutral อย่างไร พร้อมเหตุผลที่ SME ไทยควรเริ่มปรับตัว เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและรองรับอนาคตที่ยั่งยืนContent…
pin
22 | 19/05/2025
จีน – สหรัฐ ฯ ใครคือผู้นำด้าน AI ตัวจริง