อากาศตอนนี้ที่ยอดดอยเป็นช่วงปลายหนาวกำลังจะเข้าหน้าร้อน เป็นฤดูที่ดอกไม้กำลังบานรับแสงแดดชูช่ออวดสีสันงดงามเพื่อรอให้นักท่องเที่ยวมายลโฉมกัน ส่วนใครที่อยากดูดอก “ชมพูภูคา” ที่อวดช่อสีชมพูสดใสที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา คงต้องรีบหน่อยก่อนที่ต้นไม้หายากที่สุดในโลกนี้จะโรยราไปเสียก่อน
ผู้เขียนเพิ่งจะไปจังหวัดน่านเมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้เอง จุดหมายปลายทางเพื่อยลโฉมดอกชมพูภูคา ที่ว่ากันว่า หาดูได้ยากเพราะตอนนี้มีเพียงแห่งเดียวในโลกคือที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ต.ภูคา อ.ปัว จ.น่าน นอกจากหาดูยากแล้ว ในหนึ่งปีจะบานอวดโฉมเพียงช่วง 2 เดือนเท่านั้นคือกุมภาพันธ์ – มีนาคม ถ้าเลยจากนี้ไปคงต้องรอปีหน้า
ก่อนหน้านี้เคยมีการพบต้นชมพูภูคาทางตอนใต้ประเทศจีน และทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามก่อนจะหายไปจากบัญชีรายชื่อไม้งาม เนื่องจากมีการตัดไม้ทำลายป่า และไม่มีรายงานการค้นพบอีกเลย กระทั่งเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว มีการพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่ อ.ปัว จ.น่าน ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ต้นชมพูภูคาจึงได้ชื่อว่าเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์
“ต้นชมพูภูคา” เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูง 10 – 25 เมตรเรียกว่าสูงเสียดฟ้ากันเลย พื้นที่ที่ต้นชมพูภูคาจะเจริญเติบโต ต้องมีร่มเงาของไม้ใหญ่หนาทึบ มีอากาศหนาวเย็น มีความชุ่มชื้นสูง มีเมฆหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี จึงถือว่าระบบนิเวศของชมพูภูคามีความเปราะบางมาก นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ต้นชมพูภูคากลายเป็นพรรณไม้หายาก เนื่องจากในเมล็ดของชมพูภูคามีเมือกสำหรับยับยั้งการเจริญเติบโต อีกทั้งระบบนิเวศของป่าดิบเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้มีการขยายพันธุ์ได้ยาก
ผู้เขียนได้สอบถามคนในท้องถิ่น ทราบว่า ต้นชมพูภูคาจะมีเพียง 3 แห่งเท่านั้นคืออุทยานแห่งชาติดอยภูคา ซึ่งสามารถเห็นได้สบาย ๆ มีเพียง 3 ต้นคือที่ทำการอุทยานฯและบริเวณศูนย์อาหาร อช.ของอุทยาน นอกนั้นต้องเดินป่าเข้าไป
อีก 2 แห่งคืออุทยานแห่งชาติขุนสถาน ซึ่งมีพอประปรายให้ดู แต่ที่บ้านสว่าง อ.แม่จริม มีเป็นร้อยต้นแต่เดินทางยากลำบากมากต้องเช่ารถอีแต๊กปีนเขาขึ้นไปดู
ขอแนะนำให้เลือกไปดูที่อุทยานแห่งชาติภูคาดีกว่า เพราะนอกจากจะได้ยลโฉมงามของดอกชมพูภูคาแล้ว ยังได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศยอดดอยที่มีขุนเขาโอบรอบ ตอนนี้อากาศบนอุทยานกำลังเย็นสบาย ตอนกลางคืนอุณหภูมิ 17 องศา มีลมพัดเย็นสบาย ถ้ามีเวลาค้างที่บ้านพักอุทยานฯสักคืนจะมีความสุขจนไม่อยากลงจากดอยเลย
ทริปบินไปยลโฉมดอกชมพูภูคานั้น เขียนวางแผนเป็นทริปแบบ ชิลล์ ๆ ไม่รีบร้อน จึงเลือกเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯช่วงสาย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก ถึงน่านก็ใกล้เที่ยง เดินทางไปสู่ อ.ปัว ระหว่างทางก็แวะทานอาหารกลางวัน แวะไหว้ตามวัดเก่าแก่ไปเรื่อย ๆ เพราะน่านเป็นจังหวัดที่มีวัดเก่าแก่ในศิลปะไทลื้อเยอะมาก
เส้นทางที่จะขึ้นอุทยานนั้นเลือกเส้น 1256 เป็นทางขึ้นเขาสูงที่คดเคี้ยวขับรถค่อนข้างยากแต่คุ้มค่ามากเพราะวิวสองข้างทางสวยงามเป็นภูเขาสลับซับซ้อน เห็นวิวไร่ข้าวโพด ( สลับกับเขาหัวโล้นที่ถูกลักลอบตัดไม้) และมีจุดหนึ่งที่เรียกว่า “เส้นทางลอยฟ้า” ที่เหมือนรถวิ่งไต่ตามเนินเขาขึ้น ๆ ลง ๆ และในที่สุดก็เหินลับขอบฟ้าไปเลย สวยงามตื่นเต้นมาก
กว่าจะถึงอุทยานก็เย็นพอดี ยังทันได้ทักทายกับดอกชมพูภูคา 3 ต้นที่หน้าที่ทำการอุทยานซึ่งกำลังออกดอกหลายช่อ แม้ต้นชมพูภูคาจะอยู่ตรงหน้า แต่ใช่ว่าจะดูได้ง่าย ๆ เพราะดอกอยู่สูงเกินกว่าจะมองเห็น จึงต้องมองผ่านกล้องดูดาว และถ่ายภาพเธอผ่านกล้องดูดาวด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ดอกชมพูภูคากำลังออกดอกกว่า 10 ช่อ เกือบเต็มต้น เป็นดอกกลีบสีชมพูมีริ้วสีม่วงแต่งแต้มกลีบดอกที่บอบบางทรงกลม ๆ คล้ายกุหลาบ เวลาบานเป็นช่อ ๆ ดูสวยงามคุ้มค่าแห่งการดั้นด้นมาหาเธอจริง ๆ
เล่ากันว่ามีคนนำต้นชมพูภูคาไปปลูกที่เชียงใหม่เพราะอากาศใกล้เคียงกัน แม้ต้นจะเจริญเติบโตแต่กลับไม่มีดอกให้เชยชม เรียกว่า “ชมพูภูคา “ เธอรักน่านและเลือกที่จะอยู่ที่น่านจริง ๆ
ขอบคุณภาพดอกชมพูภูคาจากเฟซบุ๊คอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333