ตลอดหลายปีที่ผ่านมาของทศวรรษที่ 1990 ท่าเรือฮ่องกง ได้ชื่อว่าเป็นท่าเรือที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงและมีศักยภาพแห่งเดียวในจีนตอนใต้มามากกว่า 1 ทศวรรษ และเป็นท่าเรือที่มีการขนถ่ายสินค้ามากที่สุดในโลก เนื่องจากท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่ยังมีการพัฒนาไม่มาก
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันท่าเรือฮ่องกงมีปริมาณการขนถ่ายสินค้าลดน้อยลง เนื่องจากท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งท่าเรือเซินเจิ้น และท่าเรือกว่างโจวมีการขยายตัวและการลงทุนเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย จึงได้กลายมาเป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพกับท่าเรือฮ่องกง
นอกจากนี้ การขนถ่ายสินค้าโดยตรงระหว่างท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่และท่าเรือต่างประเทศจะยิ่งทำให้ท่าเรือฮ่องกงสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องจะยิ่งถูกพัฒนาและโรงงานต่าง ๆ จะถูกสร้างขึ้นมาในบริเวณใกล้กับท่าเรือเหล่านั้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันท่าเรือฮ่องกงยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องท่ามกลางกระแสการแข่งขันของท่าเรือระดับโลกและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาปริมาณการขนถ่ายสินค้าของท่าเรือฮ่องกงลดลงมาอยู่ที่ 19.64 ล้าน TEUs (Twenty-Foot Equivalent Unit) จากเดิมปี 2560 มีปริมาณ 21 ล้าน TEUs หรือลดลงร้อยละ 5.4 ในขณะที่ท่าเรือเซี่ยงไฮ้มีปริมาณการขนถ่ายสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ท่าเรือกว่างโจวร้อยละ 7.1 และท่าเรือปูซานของเกาหลีใต้ร้อยละ 5.8
ส่งผลให้ท่าเรือฮ่องกงตกมาอยู่อันดับ 7 จากอันดับที่ 5 ของท่าเรือที่มีปริมาณการขนถ่ายสินค้ามากที่สุดในโลก ตามหลังท่าเรือที่เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ เซินเจิ้น หนิงโป ปูซาน และกว่างโจว ตามลำดับและคาดว่าภายในสิ้นปี 2562 ท่าเรือชิงต่าวจะแซงหน้าท่าเรือฮ่องกงขึ้นมาเป็นอันดับ 7 ทั้งนี้ อาจเนื่องจากเหตุผลและความท้าทายต่าง ๆ ดังนี้
6 ประเด็นที่ท่าเรือฮ่องกงเริ่มลดบทบาทลง
1.การแข่งขันการลงทุนท่าเรือที่สูงขึ้น รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของจีนได้ลงทุนปรับปรุงท่าเรือต่าง ๆ ในแผ่นดินใหญ่เพื่อให้สามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ได้ ทำให้ท่าเรือต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่สามารถนำเข้าและส่งออกสินค้าได้โดยตรงกับต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่านท่าเรือฮ่องกงอีกต่อไป นอกจากนั้นท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ และปูซาน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ท่าเรือฮ่องกงบริหารงานโดยภาคเอกชน จึงอาจทำให้มีข้อจำกัดในการบริหารท่าเรือ
2.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอาจส่งผลให้บริษัทของจีนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือคู่แข่งของฮ่องกง เช่น ท่าเรือสิงคโปร์และท่าเรือตันจุงเปเลพาส (Tanjung Pelepas) ของมาเลเซีย ซึ่งก็จะทำให้ท่าเรือฮ่องกงตกอยู่ในฐานะที่ลำบากมากขึ้น
3.การใช้เทคโนโลยีโลจิสติกส์ ปัจจุบันท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการ ควบคุม/ขนส่งมากกว่าท่าเรือฮ่องกง ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วของจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของท่าเรือ ในจีนแผ่นดินใหญ่
4.ค่าบริการ/ค่าธรรมเนียมการจอดเรือค่อนข้างสูง ท่าเรือฮ่องกงเก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 2,140 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อ 1 TEU ซึ่งมากกว่าท่าเรืออันดับ 1 อย่างท่าเรือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมเพียง 974 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อ 1 TEU
5.จำนวนแรงงานที่มีน้อย ซึ่งแตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีแรงงานเพียงพอต่อความต้องการและฮ่องกงไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่มาทำงานในอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือได้ ดังนั้นแรงงานส่วนใหญ่ก็จะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50 ปี
6.ข้อจำกัดของพื้นที่ด้วยขนาดของท่าเรือฮ่องกงที่มีขนาดเล็กเพียง 279 เฮกตาร์ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนา/ขยายท่าเรือฮ่องกง
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจถ่องแท้แล้วทำทำไม ท่าเรือที่เคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำที่สำคัญของจีน เคยท่าเรือหลักของโลกในอดีต เคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างยุโรปและตะวันออกไกล และท่าเรือตู้สินค้าที่พลุกพล่านที่สุดในโลกกำลังถูกลดบทบาทไป ประเด็นสำคัญคือรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับท่าเรือในแผ่นดินใหญ่มากกว่านั่นเอง
อ้างอิง : กรมเอเชียตะวันออก, กระทรวงการต่างประเทศ
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก www.bangkokbanksme.com หรือ โทร call center 1333