4 Startups สายกรีน ผุดไอเดียใช้ AI แก้ปัญหาโลกร้อน มุ่งสู่ความยั่งยืน
วิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งสัญญาณอันตรายที่ชัดเจนขึ้นทุกวัน ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน Goddard Institute for Space Studies (GISS) ของ NASA ชี้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 1.1 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์สุดขั้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนรุนแรงในยุโรปที่คร่าชีวิตผู้คนนับพันในปี 2566 ไฟป่ามหากาฬในออสเตรเลียที่ทำลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านับล้านตัว หรือน้ำท่วมฉับพลันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยที่สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรและบ้านเรือนประชาชน
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้น คือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกกำลังเร่งให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เมืองชายฝั่งทั่วโลกรวมถึงกรุงเทพมหานครจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2593 หากเราไม่เร่งดำเนินการแก้ไข
ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด หลายสตาร์ทอัพทั่วโลกจึงนำ AI มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้วยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ การคาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศ และการหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพ AI จึงกลายเป็นความหวังสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน
วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ 4 สตาร์ทอัพสายกรีน ที่นำ AI มาใช้ในการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างสร้างสรรค์ พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
1. ‘CleanHub’ Startup ผู้ออกแบบนวัตกรรม AI เพื่อโลกที่สะอาดกว่า
CleanHub เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยมีเป้าหมายในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกและมลพิษทางสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบการติดตามแบบเรียลไทม์
Business Insider รายงานว่า สตาร์ทอัพจากเบอร์ลินรายนี้ กำลังรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมนี้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ จากสิ่งที่เขามองว่า มลพิษพลาสติกในทะเลเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่น่ากังวลที่สุด โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติระบุว่า มีพลาสติกประมาณ 14 ล้านตันถูกทิ้งลงสู่มหาสมุทรทุกปี คิดเป็น 80% ของขยะในมหาสมุทร
เครดิตภาพจาก : www.cleanhub.com
Joel Tasche จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยให้บริการจัดการขยะในท้องถิ่นสามารถเก็บรวบรวมและกำจัดพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้อย่างถูกต้อง
Tasche และทีมงานของเขาได้ตั้งบริการของตนในพื้นที่ชายฝั่งในเอเชียและแอฟริกา โดยร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นที่จัดการการเก็บรวบรวมขยะและสร้างงานให้กับชุมชน ไม่เหมือนกับวิธีการอื่น ๆ ที่มุ่งเน้นการกู้คืนพลาสติกเมื่อมันอยู่ในมหาสมุทรแล้ว CleanHub ป้องกันไม่ให้มันเข้าไปถึงที่นั่นตั้งแต่แรก
Bussiness Model และรูปแบบการดำเนินงาน
1. การเชื่อมโยงเครือข่าย
CleanHub ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างบริษัทที่ต้องการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมกับผู้เก็บขยะท้องถิ่นในประเทศกำลังพัฒนา โดยประสานงานกับโรงงานรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
เครดิตภาพจาก : www.cleanhub.com
2. ระบบการติดตามและตรวจสอบ
บริษัท ได้พัฒนาระบบการติดตามที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการติดตามการเคลื่อนที่ของขยะแบบเรียลไทม์ ทำให้เกิดความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การจัดการขยะ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบและติดตามความคืบหน้าได้ตลอดเวลา
3. โมเดลรายได้
CleanHub สร้างรายได้ผ่านระบบสมาชิกแบบ Subscription สำหรับบริษัทที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งให้บริการให้คำปรึกษาด้านการจัดการขยะ และมีการแบ่งปันรายได้กับพาร์ทเนอร์ในพื้นที่ สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
การทำงานของ AI ใน CleanHub
1. การวิเคราะห์และคาดการณ์
ระบบ AI ของ CleanHub ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลปริมาณขยะในพื้นที่ต่าง ๆ พร้อมทั้งคาดการณ์จุดที่มีความเสี่ยงจะเกิดการสะสมของขยะ นำไปสู่การวางแผนเส้นทางการเก็บขยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยประหยัดทรัพยากรและเวลาในการดำเนินงาน
2. การประมวลผลภาพ
เทคโนโลยี Computer Vision ถูกนำมาใช้ในการแยกประเภทขยะและตรวจสอบคุณภาพของขยะที่จะนำไปรีไซเคิล รวมถึงการระบุพื้นที่ที่มีการทิ้งขยะผิดกฎหมาย ทำให้การจัดการขยะมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
AI ช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่ง บริหารจัดการคลังสินค้าและวัตถุดิบรีไซเคิล พร้อมทั้งประสานงานระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบ ทำให้การดำเนินงานทั้งระบบเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
การดำเนินงานของ Startup รายนี้ สามารถลดขยะพลาสติกเป็นจำนวนมาก โดยปี 2023 CleanHub สามารถเก็บขยะพลาสติกได้มากกว่า 2,000 ตัน ป้องกันไม่ให้ขยะเหล่านี้ลงสู่มหาสมุทร พร้อมทั้งสร้างระบบการจัดการขยะที่ยั่งยืนให้กับชุมชนต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
อีกทั้งการดำเนินงานของ CleanHub ยังช่วยลดการเผาขยะกลางแจ้ง เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงส่งเสริมการรีไซเคิลที่ลดการใช้พลังงาน ส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม CleanHub ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนผ่านการสร้างงานให้กับผู้เก็บขยะท้องถิ่น พัฒนาระบบการจัดการขยะในชุมชน และสร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยั่งยืน
2. SweGreen นวัตกรรมเกษตรกรรมในเมืองด้วย AI จากสวีเดน
SweGreen เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากประเทศสวีเดนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบเกษตรกรรมในเมืองแนวตั้ง (Vertical Farming) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ บริษัทได้สร้างนวัตกรรมที่ช่วยให้การปลูกพืชในเมืองมีประสิทธิภาพสูงและยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นในเขตเมือง
ระบบฟาร์มอัจฉริยะ
SweGreen ได้พัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะที่เรียกว่า "AI-driven Symbiotic System" ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี IoT, AI และระบบควบคุมสภาพแวดล้อมอัตโนมัติ ระบบนี้สามารถควบคุมปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง และสารอาหาร ได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถผลิตพืชผักได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศภายนอก
เครดิตภาพจาก : https://www.swegreen.com/our-concept
การทำงานของ AI
ระบบ AI ของ SweGreen ทำหน้าที่วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมที่สุดสำหรับพืชแต่ละชนิด นอกจากนี้ยังสามารถคาดการณ์ผลผลิต วางแผนการเพาะปลูก และจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
โมเดล Farming as a Service
SweGreen นำเสนอโมเดลธุรกิจแบบ Farming as a Service (FaaS) ที่ให้ลูกค้าสามารถเช่าพื้นที่เพาะปลูกพร้อมระบบบริหารจัดการอัจฉริยะ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและดูแลระบบ ทำให้ธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารสามารถมีแหล่งผลิตอาหารสดของตัวเอง
นอกจากนี้ บริษัทได้สร้างความร่วมมือกับซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และหน่วยงานท้องถิ่น ในการติดตั้งระบบฟาร์มแนวตั้งใกล้กับจุดจำหน่าย ช่วยลดระยะทางการขนส่งและรักษาความสดของผลผลิต
ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ระบบของ SweGreen ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 95% เมื่อเทียบกับการเกษตรแบบดั้งเดิม ลดการใช้พื้นที่เพาะปลูกได้มากกว่า 90% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งอาหารระยะไกล นอกจากนี้ยังไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีในการเพาะปลูก โซลูชันของ SweGreen ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในเขตเมือง โดยสามารถผลิตอาหารที่สดและปลอดภัยได้ตลอดปี ไม่ขึ้นกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ ทำให้ชุมชนเมืองสามารถพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้มากขึ้น
SweGreen ได้ขยายการดำเนินงานในหลายเมืองของสวีเดน และได้รับความสนใจจากนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจจากทั่วยุโรป บริษัทได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนหลายรายการ และมีแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศในอนาคตอันใกล้
เครดิตภาพจาก : https://www.swegreen.com/our-concept
นับเป็นการใช้ AI ปฏิวัติวงการเกษตรในเมือง ด้วยการปลูกพืชผักหลากหลายสายพันธุ์กว่า 100 ชนิด เช่น ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง และสะระแหน่ นอกจากนี้ ยังขยายไปสู่การปลูกไมโครกรีนและกำลังทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลาย นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนในเขตเมือง ด้วยการผสมผสานนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและการเกษตร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แนวทางสำหรับการพัฒนาเมืองสีเขียวในอนาคต
3. Aquabyte Startup ผู้ปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอน
Aquabyte เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer Vision) เพื่อปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงปลา, ลดต้นทุน, และส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ AI ของ Aquabyte สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องใต้น้ำเพื่อช่วยติดตามการเจริญเติบโตและสุขภาพของปลาแต่ละตัว ทำให้ผู้เลี้ยงสามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อมและอาหารได้อย่างแม่นยำ ระบบนี้ยังช่วยลดการสูญเสียจากโรคและการตายของปลา รวมถึงเพิ่มผลผลิตด้วยการจัดการที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปลาเติบโตเร็วและมีคุณภาพสูง
เครดิตภาพจาก : https://aquabyte.ai/
Aquabyte WISE Welfare มอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสวัสดิภาพและสุขภาพของปลา ซึ่งช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลในทุกช่วงเวลาของกระบวนการผลิต ระบบนี้พัฒนาขึ้นโดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดสวัสดิภาพของปลาใน LAKSVEL และยังให้ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมอีกหลายประการ ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก Aquabyte WISE Welfare จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการให้ความสำคัญกับการดูแลและสุขภาพของปลาเป็นหลัก เพื่อให้การเลี้ยงมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
เทคโนโลยีที่ Aquabyte ใช้ ได้แก่ คอมพิวเตอร์วิทัศน์ในการตรวจสอบขนาด น้ำหนัก และสุขภาพของปลา, AI ในการเรียนรู้พฤติกรรมและทำนายการเติบโตในอนาคต, และระบบคลาวด์ในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ประโยชน์ที่ผู้เลี้ยงได้รับคือการตัดสินใจที่แม่นยำในการจัดการปลา, ลดภาระงานด้วยระบบอัตโนมัติ, และการเพิ่มผลกำไรจากการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยง ตัวอย่างการใช้งานจริงของ Aquabyte เช่น การคัดแยกปลาตามขนาดและน้ำหนัก, การตรวจสอบสุขภาพปลาอย่างรวดเร็ว, และการทำนายการเจริญเติบโตของปลา ซึ่งช่วยให้ผู้เลี้ยงสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สรุปว่า Aquabyte สตาร์ทอัพที่นำ AI และคอมพิวเตอร์วิชั่นมาปฏิวัติวงการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอน ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยระบบ AI ช่วยคำนวณปริมาณอาหารที่เหมาะสม ลดการให้อาหารเกินและของเสียในน้ำ พร้อมติดตามคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์เพื่อลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่ไม่จำเป็น
นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับโรคล่วงหน้าที่ช่วยลดการใช้ยาและสารเคมี ส่งผลดีต่อระบบนิเวศทางน้ำ รวมถึงการวางแผนการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพช่วยลดการขยายฟาร์มที่อาจรุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติ และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการขนส่งที่ไม่จำเป็น ทำให้อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาแซลมอนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น
4. Refiberd เปลี่ยนขยะสิ่งทอให้เป็นเส้นใยใหม่ด้วย AI
Refiberd คือ Startup ที่มาพร้อมแนวคิดในการช่วยอุตสาหกรรมแฟชั่นบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนแบบวงจร ด้วยการคัดแยกสิ่งทออย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ เพื่อนำไปรีไซเคิล
อย่างที่ทราบดีว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมแฟชั่น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำเนื่องจากสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้าปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดมลพิษทางน้ำและส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
ขณะเดียวกัน ขยะสิ่งทอที่ถูกทิ้งลงหลุมฝังกลบใช้เวลานานในการย่อยสลาย และก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายประการซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกในปัจจุบัน แต่ด้วยการใช้ AI ในการคัดแยกและจำแนกประเภทเส้นใยสิ่งทอ ทำให้สามารถแปรรูปขยะสิ่งทอให้กลับมาเป็นวัตถุดิบใหม่ที่นำไปใช้ผลิตสินค้าได้อีกครั้ง ช่วยลดปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งนี่คือจุดเด่นของ Refiberd
เครดิตภาพจาก : https://refiberd.com/
AI แม่นยำ
ระบบ AI ของ Refiberd สามารถวิเคราะห์และจำแนกประเภทของเส้นใยสิ่งทอได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์ กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน เทคโนโลยีของ Refiberd ช่วยให้การรีไซเคิลสิ่งทอเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณขยะ ด้วยการนำขยะสิ่งทอกลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
หยุดยั้งวัฏจักรของขยะสิ่งทอ
Refiberd ตระหนักว่า การแก้ไขปัญหาขยะสิ่งทอเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนระดับโลก และเป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนแบบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ
- ทุกวินาที มีขยะสิ่งทอเทียบเท่ากับรถบรรทุก 1 คัน ถูกทิ้ง
- ทั่วโลกมีขยะสิ่งทอถูกทิ้งมากถึง 186 พันล้านปอนด์ต่อปี
- มากกว่า 80% ของขยะนี้ถูกฝังกลบหรือเผาทำลายโดยตรง
ทั้งนี้ Refiberd กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้การรีไซเคิลสิ่งทอ เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดที่เรานำเสนอ เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนภาพว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน และผลักดันให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น โดย Startup หลายแห่งทั่วโลกได้นำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
แหล่งอ้างอิง
- CleanHub Official Website: www.cleanhub.com
- Environmental Impact Report 2023, CleanHub
- "AI in Waste Management" - Environmental Science & Technology Journal
- World Bank Report on Plastic Waste Management
- United Nations Environment Programme (UNEP) Reports
- Sustainable Food Production Conference 2023 Proceedings