AEC Connect | เทรนด์ ‘Clean beauty’ ผลักดันตลาดความงาม ‘อาเซียน’
วิกฤติโรคโควิด 19 ทำให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงความสำคัญของ ‘สุขอนามัยส่วนบุคคล’ มากขึ้น โดยจะเห็นได้จากผู้บริโภคของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายหลายประเภทเก็บสำรองไว้ที่บ้าน นับจากนั้น 3 ปีต่อมา อุตสาหกรรมสุขภาพและความงามได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของคอนเซ็ปต์ด้าน ‘ความสะอาด’ สู่ความนิยมที่มากขึ้นด้าน ‘ส่วนผสม’ ที่ประกอบอยู่ในผลิตภัณฑ์ด้านความงามและการดูแลส่วนบุคคล
เทรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามที่เกี่ยวกับส่วนผสมที่เป็นที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้นั่นคือ ‘Clean beauty’ ที่หมายถึง ผลิตภัณฑ์ความงามที่ปราศจากส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมและจากข้อมูลการแสดงสรรพคุณ ปี 2565 ของ Euromonitor International ระบุว่าอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากการแสดงสรรพคุณด้าน ‘สุขอนามัย’ สู่ ‘ความบริสุทธิ์’
ในช่วงแรก ที่เกิดโรคโควิด 19 การอ้างสรรพคุณต่าง ๆ เช่น ต้านแบคทีเรีย และ ผิวแพ้ง่าย ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจกับสุขภาพและสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้การอ้างสรรพคุณด้านความบริสุทธิ์เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากในอุตสาหกรรมนี้ โดยจากการสำรวจด้านความงามช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2565 ระบุว่า 31% ของผู้บริโภคด้านความงามทางออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดอันดับให้ ‘ส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติทั้งหมด’ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ขณะที่ อีก 25% ของผู้บริโภคยกให้ ‘ความโปร่งใสของส่วนผสม’ สำคัญที่สุด
ทั้งนี้ การตัดส่วนผสมที่ไม่จำเป็นออกจากผลิตภัณฑ์ความงามผลักดันให้เวชสำอางเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะมาจากความหวาดกลัวโรคระบาดและการรับรู้เกี่ยวกับระดับของความไวต่อสิ่งกระตุ้นของผิวหนัง และไม่เพียงแต่การเติบโตของเวชสำอางจะอยู่ในระดับสูง แต่ประเภทของเวชสำอางยังมีอิทธิพลอย่างมากด้วยซึ่งถูกผลักดันจากสรรพคุณที่อ้างว่าได้รับการทดสอบแล้วและได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพอย่างดีแล้วของแบรนด์ต่าง ๆ
นอกจากนี้ จากการสำรวจของ Euromonitor International ยังพบว่าผู้บริโภคของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อว่าคุณประโยชน์ของเวชสำอางดีกว่าผลิตภัณฑ์ความงามที่นำเสนอทางเลือกแบบมาตรฐานซี่งเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนกว่าที่เกินกว่าความต้องการส่วนบุคคลและโรคโควิด 19
ขณะเดียวกัน การตัดส่วนผสมที่อาจจะให้โทษได้กรุยทางให้กับการรวมส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไว้ในผลิตภัณฑ์บำรุง ดูและและฟื้นฟูผิว โดยในปี 2565 อุตสาหกรรมความงามได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นกับเทรนด์การดูแลหนังศีรษะซึ่งส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ขยายไปสู่กลุ่มสินค้าอื่น ๆ เช่น การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนสำหรับบำรุงหนังศีรษะเพื่อบรรเทาการหลุดร่วงของเส้นผม เป็นต้น
แม้ว่าอุตสาหกรรมความงามของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมุ่งสู่เทรนด์ของการใช้สินค้าที่มีคุณภาพดีมากขึ้น แต่ ส่วนผสมที่บริสุทธิ์มีแนวโน้มที่จะมีราคาอยู่ในระดับกลางถึงสูงซึ่งจากผลสำรวจระบุว่า 28%-35% ของผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียและไทยตามลำดับเต็มใจจะจ่ายมากขึ้น 10-20% สำหรับสูตรส่วนผสมแบบธรรมชาติ นอกจากนั้น 28% และ 31% ของผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียและไทยตามลำดับ เต็มใจจะจ่ายมากขึ้น 10-20% สำหรับสูตรทางวิทยาศาสตร์ซึ่งนอกจากจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งแบบธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นต่าง ๆ ที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ในราคาที่สูง
โดยสรุปเทรนด์ ‘Clean beauty’ ได้ส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับส่วนผสมมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีส่วนผสมสำคัญเป็นตัวนำเติบโตขึ้นซึ่งเน้นย้ำถึงประโยชน์ของแต่ละส่วนผสมโดยเฉพาะ และให้อำนาจแก่ผู้บริโภคค้นหาส่วนผสมสำคัญเพื่อรักษาและปกป้องผิวซึ่งนำไปสู่กิจวัตรการดูแลผิวที่เป็นส่วนบุคคลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งผลิตภัณฑ์ความงามที่ชูส่วนผสมตัวสำคัญจะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าให้แบรนด์ใหม่ ๆ เพราะผู้บริโภคที่ภักดีต่อส่วนผสมนั้น ๆ อาจจะเปิดใจที่จะใช้แบรนด์อื่น ๆ มากขึ้นด้วย
ที่มา: https://www.euromonitor.com/article/keeping-beauty-clean-paving-the-way-for-skinification-dermocosmetics-and-ingredient-led-beauty-in-southeast-asia