AEC Connect | ‘ชนชั้นกลาง’ กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจอินโดนีเซีย
ทางการอินโดนีเซียเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะยังคงฟื้นฟูต่อไปและจะไม่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566 นี้ ขณะที่ สำนักสถิติแห่งชาติของอินโดนีเซียระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปี 2565 อยู่ที่ 5.31% เกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5.2% โดยการเติบโตอย่างมากเกิดจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การค้าระหว่างประเทศที่เกินดุลการค้าตลอด 31 เดือนติดต่อกัน และการส่งออกเติบโตที่ 14.93%
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของอินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่านโยบายทางเศรษฐกิจที่ใช้แก้ไขสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 นั้นประสบผลสำเร็จ โดยปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของอินโดนีเซีย คือ การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางที่มีอำนาจซื้อซึ่งการบริโภคของชนชั้นกลางสนับสนุนเศรษฐกิจมาเป็นเวลานาน รวมถึงในช่วงที่เกิดโรคระบาดด้วย
จากข้อมูลของธนาคารโลก ประชาชนที่มีการใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่ราว 7.75-38 ดอลลาร์สหรัฐ จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งกลุ่มนี้มีประชากรของอินโดนีเซียอยู่ราว 52 ล้านคน ที่บางครั้งกลุ่มนี้ถูกเรียกว่ากลุ่ม ‘ชนชั้นกลางที่มั่นคง’
อีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มชนชั้นกลางที่มีความต้องการหรือใช้จ่ายอยู่ที่ราว 3.3-7.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยประชากรของอินโดนีเซียราว 115 ล้านคนในกลุ่มนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างยากจนอีกต่อไป แต่ยังต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การมุ่งเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการขยายขนาดของ ‘ชนชั้นกลางที่มั่นคง’ นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออินโดนีเซียภายใต้ ‘วาระการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ’
ในช่วงเกิดโรคระบาดโควิด 19 ที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์และการเว้นระยะห่าง รัฐบาลอินโดนีเซียได้นำนโยบายต่าง ๆ มาใช้โดยมีกลุ่มชนชั้นกลางเป็นเป้าหมาย เพื่อรักษาการบริโภคให้มีอยู่ต่อไป ซึ่งสำหรับวาระการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจำเป็นต้องมุ่งส่งเสริมการบริโภคของกลุ่ม ‘ชนชั้นกลางที่มั่นคง’ ขณะที่ช่วยเหลือกลุ่มชนชั้นกลางที่เปราะบาง โดยกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นกลางระดับบน รัฐบาลอาจจะพิจารณาใช้นโยบายที่กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศต่อไปและสร้าง ‘ผลทวีคูณ’ ต่อระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่ การส่งเสริมการบริโภคก็ควรที่จะสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลกระบุว่าการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของ GDP ของอินโดนีเซีย ในปี 2562 และในปี 2560 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างงานถึง 12.7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งคิดเป็น 10.5% ของการจ้างงานของประเทศทั้งหมด
สำหรับการดูแลกลุ่มชนชั้นกลางที่เปราะบาง รัฐบาลอาจจะต้องมุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น การสร้างงานที่จ่ายค่าแรงมากขึ้นสำหรับภาคแรงงานในระบบเป็นตัวอย่างความท้าทายที่จำเป็นต้องแก้ไข โดยการเพิ่มงานในภาคแรงงานในระบบจะให้ความคุ้มครองแก่คนงานกลุ่มชนชั้นกลางมากขึ้นผ่านทางความมั่นคงและการเข้าถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ ด้านการประกันสุขภาพ
อย่างไรก็ดี ความท้าทายของอินโดนีเซียในตอนนี้ คือ การทำให้การเติบโตครอบคลุมมากขึ้นโดยการจัดเตรียมการขยับสถานะทางเศรษฐกิจและการขยายขนาดของชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางอาจทำได้หลายวิธี เช่น การปรับปรุงคุณภาพการศึกษาระดับมัธยมศึกษา มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปรับปรุงนโยบายภาษีและกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลเก็บภาษีจากชนชั้นกลางที่มากขึ้นและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีความสำคัญต่อผลิตภาพ รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ อินโดนีเซียจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดทางให้ ‘งานของกลุ่มชนชั้นกลาง’ สามารถเติบโตและรุ่งเรือง เพื่อให้ประเทศบรรลุความมุ่งหมายที่จะกลายเป็น ‘ประเทศรายได้สูง’ ภายในปี 2588 หรืออีก 22 ปีข้างหน้า ซึ่งงานของชนชั้นกลางเป็นงานที่มีคุณภาพสูงที่จะช่วยให้ครอบครัวชาวอินโดนีเซียโดยเฉลี่ยสามารถใช้ชีวิตได้ในสถานะ ‘ชนชั้นกลาง’
ที่มา: Creating Middle-Class Jobs Can Pave the Way to a More Prosperous Indonesia, Says World Bank
A strong middle class is the backbone of Indonesia’s economy | East Asia Forum