ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเวียดนาม มีโอกาสแค่ไหนในปี 2024

ตลาดอาหารและเครื่องดื่มเวียดนามมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมากในปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การขยายตัวเชิงกลยุทธ์ และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และบริการ

ข้อมูลการวิจัยทางการตลาดของ Decision Lab ระบุว่าการจัดอันดับล่าสุด KFC และ Highlands Coffee ยังรักษาตำแหน่ง 2 อันดับแรกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการตอกย้ำฐานทางธุรกิจที่มั่นคงในตลาดเวียดนาม ขณะที่ แบรนด์ Trung Nguyen Legend และ Jollibee ขยับขึ้นมาแบรนด์ละ 1 อันดับ อยู่ในอันดับที่ 3 และ 8 ตามลำดับ ซึ่งจากข้อมูลการจัดอันดับเหล่านี้ได้สะท้อนให้ถึงความภักดีที่มีต่อแบรนด์อย่างลึกซึ้งในหมู่ผู้บริโภคชาวเวียดนาม ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวมีเกณฑ์การพิจารณาจาก ความประทับใจ, คุณภาพ, คุณค่า, ความพึงพอใจ, การแนะนำและชื่อเสียง เป็นต้น

นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์ยังมีความสำคัญต่อการบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูงเป็นอันดับแรก ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาชื่อเสียงของแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้นก็จะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความภักดีของลูกค้าในระยะยาว

KFC Vietnam เปิดเผยว่าการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมีความสามารถในการปรับตัวและปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน KFC Vietnam มีร้านมากกว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ และได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินกิจการ เช่น เครื่องสั่งอาหารที่ช่วยให้ลูกค้ามีประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ อีกทั้งยังอัพเดตรายการอาหารอยู่เป็นประจำเพื่อให้สอดคล้องกับความชอบของลูกค้า รวมถึงออกรายการอาหารตามฤดูกาลและตามเทรนด์เพื่อนำเสนอความสดใหม่และดึงดูดความสนใจ

เช่นเดียวกับ Jollibee แบรนด์ไก่ทอดของฟิลิปปินส์ที่เน้นเมนูที่หลากหลายและยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า อีกทั้งยังเน้นเกี่ยวกับนวัตกรรมและคุณภาพซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคชาวเวียดนาม

ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มซึ่งยังตามหลังตลาดอาหารในมุมรายได้นั้นก็มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างมากโดยได้รับแรงผลักดันจากธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ทั้งนี้ รายงานของ iPOS.vn ระบุว่ามูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มคาดว่าจะแตะระดับกว่า 27,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2566

Phuc Long Coffee & Tea ได้ลดจำนวนเครื่องให้บริการ แล้วกลับไปให้ความสำคัญกับร้านหลัก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้มุ่งหมายที่จะยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะที่ Starbucks ยังคงดำเนินกลยุทธ์การขยายกิจการซึ่งเพิ่งเปิดร้านที่ 107 ในเวียดนาม อีกทั้งแบรนด์ยังมุ่งที่จะนำเสนอเครื่องดื่มตามฤดูกาลและตามเทรนด์เพื่อดึงดูดลูกค้า

สำหรับปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของเวียดนามมีหลายข้อ แต่ 1 ข้อที่น่าสังเกต คือ ครอบครัวชาวเวียดนามจัดสรรเงินที่ใช้สำหรับอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 20-48% ซึ่งการใช้จ่ายที่สูงนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลางและวัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่มีรายได้หลังหักภาษีเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในเวียดนามคาดว่ามีอัตราการเติบโตที่เกือบ 11.5% ในปี 2566 และมีรายได้กว่า 23,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดอาหารคิดเป็นรายได้ที่ 21,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.9% จากปีที่แล้ว และในอนาคตก็คาดว่าธุรกิจบริการอาหารจะมีอัตราเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ 9.7% และมีความเป็นไปได้ที่รายได้จะแตะมูลค่า 36,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570

ที่มา Prospects in Vietnam's F&B Market in 2024 (vietnam-briefing.com)