ภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาการขยายการลงทุนในภูมิภาค และการลงทุนโดยตรง (FDI) ที่หลั่งไหลเข้ามา ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในเวทีการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน
ครั้งที่ 37 หรือ (The
37th ASEAN Minister on Energy Meeting and Associated Meeting) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
รัฐมนตรีอาเซียน ทั้ง 10
ประเทศ ได้หยิบยกประเด็นอนาคตพลังงานของภูมิภาคต่อสถานการณ์และสภาวะปัญหาทางด้านพลังงานขึ้นมาหารืออย่างเข้มข้น
โดยมีการคาดการณ์ว่าการลงทุนด้านพลังงานในอาเซียนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันอาเซียนจำเป็นต้องเตรียมพร้อมสู่เทรนด์การเปลี่ยนผ่านของพลังงานยุคใหม่
ซึ่งเน้นพลังงานสะอาดมากขึ้น จากการที่หลายฝ่ายตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม
ประกอบกับการก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น
ส่งผลให้เทคโนโลยีด้านพลังงานมีความก้าวล้ำและมีต้นทุนที่ต่ำลง
ทั้งนี้ รัฐมนตรีพลังงานอาเซียน
มีมติตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจาก 13%
ในปัจจุบันให้กลายเป็น 23%ในปี
2568 หรือในอีก 6
ปีข้างหน้า พร้อมปรับลดความเข้มข้นการใช้พลังงานให้ได้ 24.4%
หลังจากประเทศสมาชิกสามารถบรรลุเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะลดการใช้พลังงาน 20%
ไปตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา
ไฮไลต์สำคัญของการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงกำหนดเป้าหมายด้านพลังงานในอนาคต แต่สมาชิกยังมุ่งพัฒนา "โครงสร้างพื้นฐาน" เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานอนาคตด้วย
นอกจากเวทีระดับรัฐมนตรีพลังงานแล้ว
ในฟากฝั่งเวทีการหารือระดับทวิภาคีก็นับว่ามีความเข้มข้นเช่นเดียวกัน
โดยไทยในฐานะเจ้าภาพได้หยิบยกแนวทางทางการขยายกรอบความร่วมมือ 3
ประเทศ
ทั้ง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย โครงการความร่วมมือด้านไฟฟ้า ระยะที่ 2
(Lao PDR, Thailand, Malaysia – Power Integration Project : LTM – PIP) เพิ่มอีก
2 ปี
ปริมาณการซื้อขายสูงสุด จาก 100
เมกะวัตต์ เป็น 300
เมกะวัตต์
คาดว่าจะเริ่มในเดือน ม.ค.2563
รวมถึงร่วมจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับเพิ่มเติมของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (energy
Purchase and Wheeling Agreement ) ซึ่งอนาคตประเทศสิงคโปร์แสดงความสนใจในการเข้าร่วมด้วย
ภายใต้ความร่วมมือไปสู่ "LTMS" ซึ่งถือเป็นรากฐานโอกาสการซื้อขายไฟฟ้าระดับพหุพาคีระดับภูมิภาค
รวมทั้งเวทีการหารือระดับทวิภาคีไทย-เมียนมา
เน้นการตอบสนองนโยบายระบบเชื่อมโยงไฟฟ้าอาเซียน ซึ่งได้เห็นพ้องการตั้งคณะทำงานร่วมกัน
2
ประเทศเพื่อศึกษาด้านเทคนิคและความเป็นไปได้ในปริมาณและราคาการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับเมียนมา
โดยผ่านระบบส่ง 250 KV เส้นทาง
อ.แม่สอด จังหวัดตาก-เมียวดี เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของเมียนมา
มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากจากการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ทำให้ต้องการขยายไฟฟ้าไปสู่พื้นที่ประเทศให้มากขึ้นเช่นกัน จากปัจจุบันมีเพียง 50%
ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญต่อการเชื่อมโยง
ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังหารือถึงธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไทยสนใจจะร่วมพัฒนาในเมียนมาโดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเมียนมา
ซึ่งบมจ.ปตท.ก็มีแผนที่จะพัฒนาร่วมกันอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน การพัฒนาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดคุยกันมากพอสมควรในการประชุมครั้งนี้ที่จะนำไปสู่การพัฒนาแอลเอ็นจีขนาดเล็ก
(Small Scale LNG) ซึ่งเป็นทิศทางของเทคโนโลยีพลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคตที่จะมีความสำคัญมากขึ้น
และไทยก็มีความพร้อมรองรับได้ถึง 30
ล้านตันต่อปี
จากที่ปัจจุบันมีระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รองรับอยู่แล้วเพื่อให้สามารถกระจายการใช้
LNG ให้ครอบคลุมมากขึ้น
นอกจากนี้ การประชุมรัฐมนตรีพลังงานร่วมกับจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลี ( AMEM+3 ) ครั้งที่ 16 ไทยได้ยืนยันว่าอาเซียนกำลังเดินหน้าสู่การบรรลุเป้าหมายความมั่นคงด้านพลังงานที่ดียิ่งขึ้น และได้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อยอดแผน ASEAN Plan of Action for Energy Cooperation (APAEC) ระยะที่ 2 สำหรับปี 2021-2025 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2020 ซึ่งแผนนนี้จะมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงและการบรูณาการด้านพลังงาน ผ่านการซื้อขายไฟฟ้าพหุภาคี และการเชื่อมโยงก๊าซธรรมชาติในภูมิภาค
มาเลเซียผ่าน EIA โครงการถมทะเลในรัฐปีนัง
เมียนมาแก้ปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอ