อะโวคาโด (Avocado) ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ยืนหนึ่งที่มีประโยชน์สูง ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการบริโภคเพื่อสุขภาพจากคุณประโยชน์ที่อัดแน่นอยู่ในเนื้อผล ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย และลดไขมันเลว (LDL) ลงไปได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังข่าวลือสะพัดว่าการกินอะโวคาโดทุกวันจะช่วยลดความอ้วนลงพุงได้ จนกลายเป็นกระแสปฏิบัติตามๆ กันไป ด้วยความเชื่อว่าอะโวคาโดนั้นมีดีด้านการลดความอ้วนได้มากกว่าประโยชน์ด้านอื่น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
‘อะโวคาโด’ ลดไขมันเลว
LDL ได้จริง
มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย
Penn State เกี่ยวกับอะโวคาโด โดย Kris-Etherton ที่บ่งชี้ข้อสำคัญว่า อะโวคาโด มีผลต่อการช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด
(LDL) ลงและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้สูงขึ้นได้แบบมีนัยสำคัญ
ด้วยการกินอะโวคาโดวันละ 1 ผล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับ LDL ในเลือดที่ลดลง
งานวิจัยได้ทำการศึกษาผู้ที่เป็นโรคอ้วนจำนวน 45
คน มีการติดตามพฤติกรรมมีการควบคุมอาหารเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยแบ่งผู้เข้าร่วมศึกษาออกเป็น
3 กลุ่ม ตามวิธีการควบคุมอาหาร ได้แก่ การกินอาหารแบบไขมันต่ำ
การกินอาหารแบบไขมันปานกลาง และการกินอาหารแบบไขมันปานกลางแต่เพิ่มการกินอะโวคาโด
1 ผลต่อวัน จากนั้นรอดูผลอีก 5 สัปดาห์ พบว่าหลังผ่านไป 5 สัปดาห์
โดยผู้เข้าร่วมศึกษาวิจัยที่กินอะโวคาโดเป็นประจำทุกวัน
วันละ 1 ผลมีระดับ LDL ที่ถูกออกซิไดซ์ลดลงกว่าตอนก่อนเริ่มวิจัยอย่างมีนัยสำคัญ
และยังมีลูทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูงขึ้น โดยการออกซิไดซ์ LDL เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดและเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหัวใจและมะเร็งได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าอะโวคาโดนั้นสามารถช่วยลดการออกซิไดซ์ LDL ได้ด้วย
คุณประโยชน์ของอะโวคาโด
ผลงานวิจัยยังระบุอีกว่า
การกินอะโวคาโดสม่ำเสมอช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มความต้องการทางเพศ
กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
เร่งการสมานแผลให้เร็วขึ้น และมีบางส่วนถูกสกัดเป็นน้ำมันรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ที่ใช้ทาลงบนผิวหนังโดยตรงสำหรับบรรเทาอาการผิวหนังด้านและโรคสะเก็ดเงิน
ตามแนวทางรักษาแบบธรรมชาติบำบัดอีกด้วย
อีกสรรพคุณสำคัญที่เห็นได้เด่นชัดของอะโวคาโด
ก็คือการลดคลอเรสเตอรอลในเลือด
ซึ่งอะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูง จากผลการศึกษาวิจัยที่กล่าวถึงข้างต้น
และผลการวิจัยอื่นๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับอะโวคาโดและการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันรวม
ไขมันชนิดดี ไขมันชนิดไม่ดี และไตรกรีเซอร์ไลน์ในเลือด ในกลุ่มผู้เข้าทำการทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ
แต่ไม่ช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี
ผลอะโวคาโดยังมีวิตามินที่มีอยู่มากนั้นมีประโยชน์ด้านการบำรุงผิวพรรณและสายตา
ดังจะเห็นได้ว่าในวงการเครื่องสำอางมีการนำอะโวคาโดไปเป็นส่วนผสมหลักของเครื่องสำอางหลายชนิด
ผ่านการสกัดเป็นน้ำมัน
ซึ่งน้ำมันอะโวคาโดเป็นน้ำมันที่ดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันอื่นๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด อัลมอนด์
หรือน้ำมันมะกอก ถ้านำมาใช้ภายนอก สามารถใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้เป็นอย่างดี
เพราะมีคุณสมบัติซึมได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีผิวแห้ง
หากใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา
ข้อเท็จจริงควรรู้ในการกินอะโวคาโดลดพุง-ลดน้ำหนัก
มีการนำข้อมูลไปเผยแพร่และบอกกล่าวกันอย่างแพร่หลายว่า
การรับประทานอะโวคาโดทุกวัน วันละ 1 ผล จะช่วยลดความอ้วนหรือลดพุงได้ ซึ่งอาจเป็นการตีความหมายมาจากผลมางานวิจัยในลักษณะเดียวกันกับมหาวิทยาลัย
Penn State
ที่ว่าการกินอะโวคาโดนั้นช่วยลดระดับไขมันเลว LDL ที่สัมพันธ์ต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันลงได้
หากกินในปริมาณที่เหมาะสมไปพร้อมกับการควบคุมอาหาร แต่ยังไม่มีผลงานวิจัยที่ระบุแน่ชัดว่าการกินอะโวคาโดเป็นประจำจะช่วยทำให้พุงยุบ
หรือลดวามอ้วนได้ แม้ว่าอะโวคาโดจะเป็นผลไม้ทางเลือกของคนรักสุขภาพ
แต่ในทางโภชนาการถือว่าเป็นแหล่งไขมันที่สูงมาก
ในความเป็นจริงน้ำหนักเนื้ออะโวคาโด
100 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 160 กิโลแคลอรี ซึ่ง 77% ของแคลอรีมาจากไขมัน และเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่
บวกกับไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนจำนวนเล็กน้อย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวส่วนใหญ่ คือกรดโอเลอิกที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก
มีผลการศึกษาวิจัยจำนวนมากได้เชื่อมโยงกรดโอเลอิกกับประโยชน์ต่อสุขภาพ
เช่น ลดการอักเสบและความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า
การแทนที่ไขมันอิ่มตัวบางส่วนในอาหารด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวหรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
สามารถนำไปสู่ผลประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้ความไวของอินซูลินเพิ่มขึ้นจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้นและระดับไขมันเลว
LDL ลดลง ซึ่งในการทบทวนการศึกษาวิจัยกว่า 10 ชิ้นพบว่า
การแทนที่ไขมันบางส่วนในอาหารด้วยอะโวคาโด อาจลดคอเลสเตอรอลรวมโดยเฉลี่ยได้ 18.8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ไขมันเลว 16.5 LDL มิลลิกรัม/เดซิลิตร และไตรกลีเซอไรด์
27.2 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อะโวคาโดจึงเป็นอาหารที่จะลดจำนวนของ LDL ลงได้
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยลดความอ้วนลงได้ด้วย หากไม่มีการควบคุมอาหารและกินอะโวคาโดอย่างพอดี
อย่างไรก็ตาม อะโวคาโดนั้นไม่สามารถกินผลดิบได้ เนื่องจากมีสารแทนนินที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
และทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของสหราชอาณาจักร
ได้เปิดเผยผลงานวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคอะโวคาโดไว้ว่า การบริโภคมากเกินไปอาจเสี่ยงป่วยเป็นโรคหัวใจ
โดยเฉพาะในบางคนที่มียีนตัวหนึ่งซึ่งกลายพันธุ์
ทำให้คนคนนั้นสามารถสร้างไขมันดีได้เยอะ แต่กลับเป็นไขมันดีที่ไม่ได้ประโยชน์
เพราะอาจเสี่ยงก่อให้เกิดโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้ ไม่แพ้คนที่สูบบุหรี่
โดยยีนที่ว่านี้มีชื่อว่า SCARB1 ซึ่งพบได้ในอัตรา 1 คนต่อประชากร 1,700 คน คนที่มียีนนี้ร่างกายจะเสี่ยงป่วยเกี่ยวกับหัวใจได้มากถึง
80% เพราะไขมัน HDL ของคนกลุ่มนี้ไม่สามารถนำไขมันในเลือดผ่านตับเพื่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้
ดังนั้นคนที่มีไขมันดีสูงจึงไม่ได้หมายความว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคหัวใจได้เสมอไป
ดังนั้นการกินอะโวคาโดมากเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อการเสียสมดุลของไขมันดีและไขมันเลวในร่างกาย
ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ และการกินมากเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ
จนต้องเก็บพลังงานไว้ในรูปแบบของไขมัน จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนตามมาได้
เพราะอย่าลืมว่าอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง แค่เพียงกิน 100
กรัมก็ให้พลังงานถึง 160 กิโลแคลอรี ซึ่ง 77% แคลอรีที่ได้รับมาจากอะโวคาโด 100
กรัมก็มาจากไขมันมากกว่ากากใยเสียด้วย
ดังนั้นสรุปคือต้องกินอย่างพอดี ควรคู่ไปกับการควบคุมอาหารจึงจะสามารถลดน้ำหนักได้ ที่สำคัญควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
แหล่งอ้างอิง
https://www.interpharma.co.th/