แบรนด์ต้องตั้งอยู่ตามบริบทของสังคม
เพราะสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นผู้ชี้ชะตาความอยู่รอดของแบรนด์ ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจการค้าสหรัฐฯ
ทว่ากระแสร้อนแรงของรณรงค์ ‘Black Lives Matter : BLM’ ทั่วประเทศสหรัฐฯ
ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์
ชาวแอฟริกันอเมริกันเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบไปยังเจ้าของแบรนด์ต่างๆ
เช่นกัน
รวมทั้งมีการปรับตัวโดยการที่ใช้ภาพคนผิวดำและชนกลุ่มน้อยเป็นแบรนด์และโลโก้บนบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อลดกระแสต่อต้านและสร้างความเท่าเทียมทางสีผิว โดยจะออกแบบโลโก้ใหม่และเอาภาพคนบนบรรจุภัณฑ์ออกไป หรือ/และมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ โดยกลุ่มแบรนด์สินค้าที่ได้รับผลกระทบ ยกตัวอย่าง อาทิ แบรนด์ L'oreal ได้ตัดคำ Whitening ออกจากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแสดงถึงไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งกรณีลักษณะนี้กำลังเป็นกระแสการปรับตัวครั้งใหญ่ของสินค้าในตลาดสหรัฐฯ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กระนั้นปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย
เช่น PepsiCo, Volkswagen, Dolce Gabana, Heineken ประสบปัญหาการประท้วงหรือการต่อต้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าที่นำออกเผยแพร่
เนื่องจากมีเนื้อหาสาระขัดแย้งหรือเหยียดต่อพื้นฐานวัฒนธรรมชนชาติและชาติพันธุ์ของผู้บริโภคกลุ่มน้อย
ซึ่งผู้ประกอบการดังกล่าวต้องถอนการโฆษณาและประกาศการขอโทษ
โดยผลการสำรวจของบริษัท Morning Consult ในเรื่องปฏิกิริยาของผู้บริโภคจากกระแส
Black Lives Matter ที่มีต่อแบรนด์สินค้าพบว่า ร้อยละ 66
ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen-Z (มีจำนวนประมาณ 74 ล้านคนในสหรัฐฯ)
เห็นว่ารณรงค์เรื่อง Black Lives Matter (BLM) มีอิทธิพลต่อการซื้อแบรนด์สินค้า และร้อยละ 81 สนับสนุน BLM มากที่สุด ในขณะที่กลุ่ม Millennials กลุ่ม Gen-X
และกลุ่ม Baby Boomers ให้การสนับสนุนร้อยละ 70
ร้อยละ 62 และร้อยละ 56 ตามลำดับ
ขณะที่ร้อยละ 76 ของผู้บริโคกลุ่ม Gen Z เห็นว่าภาคธุรกิจ บริษัทต่างๆ มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการเหยียดผิว
และมีอำนาจต่อรองกับภาครัฐที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงระบบ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบการชั้นนำรายสำคัญในสหรัฐฯ
และจากต่างประเทศหลายราย อาทิ Walmart,
Target, Amazon, Gap, Lululemon, H &
M Group ได้ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่กิจการ
ได้ร่วมบริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆ ที่รณรงค์การต่อต้านการเหยียดผิว และเสริมสร้างความเท่าเทียมทางสีผิว
ขณะเดียวกันการวางแผนการตลาดและการประชาสัมพันธ์โฆษณาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ
นั้นจะต้องคำนึงในเรื่อง Marketing Content เป็นสำคัญ
การหลีกเลี่ยงการนำชาติพันธุ์มาประกอบ รวมไปถึงการใช้คำที่บ่งบอกถึงชาติพันธุ์
เช่น "Black" หรือ "White" หรือ "Asian" หรือภาพประกอบมาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์หรือโลโก้
เพื่อเป็นการส่งเสริมสร้างความเข้าใจและเพิ่มความต้องการบริโภคสินค้าของผู้บริโภค
ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิต/ผู้ส่งออกสินค้าแบรนด์ไทยที่ส่งออกหรือจะส่งออกไปจำหน่ายในสหรัฐฯ
ก็ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรจะทบทวนแบรนด์สินค้าของตนเอง ในเรื่องภาพ
โลโก้ และคำที่ใช้บนบรรจุภัณฑ์ ว่าจะมีความขัดแย้งต่อกระแสในปัจจุบันหรือไม่
และหาทางปรับปรุงให้สอดคล้องและสนับสนุนกับกระแสความเท่าเทียมกัน ซึ่งก็เป็นโอกาสในวิกฤติเช่นเดียวกัน
แหล่งที่มา : www.foxnews.com/