ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจโลก ก็คือ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยมีจุดพลิกผันสำคัญนับตั้งแต่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ส่งกองกำลังทหารเข้าไป “ปฏิบัติการณ์พิเศษ” จนทำให้นานาชาติใช้มาตรการในการคว่ำบาตรรัสเซีย
โดยมาตรการคว่ำบาตรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย ก็มีตัวอย่างเช่น
-การคว่ำบาตรทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดธนาคารของรัสเซียออกจากระบบ SWIFT ที่เป็นระบบสื่อสารการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ที่มีสมาชิกเป็นสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่ง ซึ่งสร้างความลำบากในการธุรกรรม
-การห้ามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปที่รัสเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การทหารไปจนถึงสินค้าทั่วไป
-การแบนสินค้าของรัสเซียและการเลิกทำการค้าจากภาคเอกชน เช่น การที่บริษัท BP และ Exxon Mobil ได้ตัดสินใจถอนการลงทุนมูลค่ารวมกันหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐออกจากรัสเซีย การแบนห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรัสเซียในหลายประเทศ หรือ แม้แต่การที่ Apple และ Google ได้ตัดบริการการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มของตัวเอง
มาตรการคว่ำบาตรที่ออกมาทั้งหมดนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้ทางรัสเซียกำลังเจอกับภาวะความยากลำบากทางเศรษฐกิจอยู่หลายประการ
ปัญหาในภาคตลาดการเงิน สกุลเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงอย่างมาก โดยหลังจากตลาดในต่างประเทศเปิด เงินรูเบิลก็อ่อนค่าลง 30% แทบจะทันที เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดหุ้นรัสเซียก็มีมูลค่าลดลงไปกว่า 40% จนมีการห้ามชาวต่างชาติขายหุ้น เพื่อนำเงินออกจากรัสเซีย และก็มีการสั่งปิดทำการตลาดไปก่อนเพื่อระงับความสูญเสียไปก่อน
ปัญหาเงินเฟ้อในรัสเซียก็เป็นปัญหาที่น่ากังวลใจเช่นกัน โดยก่อนที่ความขัดแย้งจะยกระดับขึ้นมา เงินเฟ้อของรัสเซียก็อยู่ในระดับมากกว่า 8% มากกว่า 4 เดือนแล้ว โดยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดในเดือนมกราคม อยู่ที่ระดับ 8.73%
แต่เมื่อมีปัญหาการอ่อนค่าของสกุลเงินรูเบิลจากการคว่ำบาตรเข้ามาซ้ำเติม ก็จะยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อยิ่งน่ากังวลกว่าเดิม โดยอดีต เมื่อครั้งที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร ช่วงวิกฤติไครเมียร์ เงินเฟ้อของรัสเซียก็เคยพุ่งไปแตะระดับสูงกว่า 16%
ประชาชนในประเทศรัสเซียไม่มั่นใจในระบบธนาคารในรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ จนพากันไปถอนเงินสดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดวิกฤติสภาพคล่องในภาคธนาคารอีก ซึ่งจะซ้ำเติมโครงสร้างเศรษฐกิจของรัสเซียที่มีการพึ่งพาภาคธนาคารอย่างมาก
อย่างกรณีของธนาคารที่มีขนาดใหญ่สุดของรัสเซีย “Sberbank” ล่าสุดก็มีการต้องปิดสาขาในยุโรปทั้งหมดจนมูลค่าของหุ้นธนาคารลดลงไปมากกว่า 90%
ทางธนาคารกลางของรัสเซียก็พยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินและราคาเช่นกัน โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายทีเดียวจาก 9.5% (ที่ค่อนข้างสูงแล้ว) เป็น 20%

อย่างไรก็ดี การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงขนาดนี้ก็อาจจะส่งผลเสียอย่างมากแต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีต้นทุนทางการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันได้เช่นกัน
และอันที่จริง ก็ยังมีอีกหนึ่งมาตรการคว่ำบาตรขั้นรุนแรงที่ยังไม่ถูกนำมาใช้กับทางรัสเซีย มาตรการนั้น คือ การตัดการซื้อสินค้าปิโตรเลียมจากรัสเซียอย่างเด็ดขาด ซึ่งจะเป็นการตัดรายได้ที่สำคัญของรัสเซีย โดยสัดส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของรัสเซีย ในปีพ.ศ. 2563 มากกว่า 40%

อย่างไรก็ดี การใช้มาตรการคว่ำบาตรนี้ ก็จะส่งผลย้อนกลับไปที่ทวีปยุโรปรวมถึงทั่วโลก ที่จะขาดส่งออกแหล่งพลังงานคนสำคัญ ซึ่งจะไปซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงในหลายประเทศขณะนี้
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
สำหรับประเทศไทย ผลกระทบทางการค้าโดยตรงที่เกิดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ในภาพรวมแล้วยังมีมูลค่าไม่สูงมากนัก ในกรณีการค้าขายกับรัสเซีย ในปี 2564 ที่มีมูลค่ามากกว่าการค้าขายกับยูเครนแล้ว ก็ยังมีมูลค่าไม่ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นไม่ถึง 1 % ของมูลค่าการค้าขายทั้งหมดของประเทศ
ในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยสู่รัสเซีย ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรและส่วนประกอบ อุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น
และสินค้านำเข้าที่สำคัญของไทยจากรัสเซีย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (49.06%) เหล็กและเหล็กกล้า (10.7%) ปุ๋ย (10.4%) อะลูมิเนียม (8.31%) เป็นต้น
*เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าทั้งหมดระหว่างไทยกับรัสเซีย
ถึงแม้ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จะไม่ส่งผลต่อการค้าของไทยโดยตรงในภาพรวม แต่ในระดับรายย่อยที่ทำการค้ากับรัสเซียหรือยูเครนเอง ก็จำเป็นต้องมองหาวิธีในการป้องกันความเสี่ยงและลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องปัญหาทางด้านการทำธุรกรรมการเงินกับทั้งสองประเทศ
ผลกระทบด้านต่อมา คือ ตลาดนักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซีย ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยมาหลายปี
โดยในอดีต เมื่อทางรัสเซียเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะส่งผลต่อเนื่องให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากรัสเซียที่เข้าไทยลดลงไปด้วย อย่างในตอนปี พ.ศ. 2558 ที่รัสเซียเจอปัญหาการคว่ำบาตรจากหลายประเทศเช่นกัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียก็ลดลงไปเกือบ 50% จากประมาณ 1,600,000 คน เหลือไม่ถึง 900,000 คน
แต่หลังจากนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียก็ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด โดยในปีก่อนที่จะเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวรัสเซียเข้ามาเที่ยวไทยเป็นจำนวนเกือบ 1.5 ล้านคน มากเป็นอับดับ 7 จากทุกชาติ

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของนักท่องเที่ยวมากนักในระยะสั้น เนื่องจากภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายอย่างสมบูรณ์ ทำให้นักท่องเที่ยวในช่วงนี้ก็ยังค่อนข้างซบเซา
อีกหนึ่งปัญหาที่กลายเป็นที่กังวลในระดับโลกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็คือ ผลกระทบทางด้านเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ในตอนนี้ ยังไม่มีการใช้มาตรการคว่ำบาตรกับทางรัสเซียในเรื่องการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอย่างเด็ดขาด แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกก็ปรับตัวสูงขึ้นไปท่ามกลางความไม่แน่นอนของความขัดแย้งแล้ว
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude Oil) ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงน้ำมันในทวีปยุโรป ก็ปรับตัวสูงขึ้นทะลุ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบประมาณ 10 ปี

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อื่นก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามกัน เพราะรัสเซียเป็นผู้ผลิตโลหะที่สำคัญรายหนึ่งของโลก ทั้งเหล็ก อลูมิเนียม และนิกเกิล
และยังมีส่วนของข้าวสาลี ซึ่งเมื่อรวมกับทางยูเครนคิดเป็นกว่า 25% ของการผลิตทั้งโลก
ทำให้ตอนนี้ ผู้คนยอมจ่ายซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ในราคา ที่แพงกว่า ราคาในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 1 ปีเกินกว่า 10% แล้ว (อ้างอิงจากดัชนีที่คำนวณโดย Bloomberg ที่มีการถ่วงน้ำหนักหลายสินค้า) เพราะไม่ไว้ใจในสถานการณ์ในอนาคต

ซึ่งถ้าปัญหาความขัดแย้งยังยืดเยื้อต่อไปยาวนาน ปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะยิ่งทวีความรุนแรง และส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อของทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของผู้คนสูงขึ้นไปตาม
สรุป
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งทำให้มีการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจากนานาชาติตามมานั้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของตลาดการเงินและภาวะเงินเฟ้อ
แต่ผลกระทบโดยตรงกับการค้าและการท่องเที่ยวกับไทยในระยะสั้น อาจจะยังไม่รุนแรงมากนักด้วยสัดส่วนการค้าที่ต่ำและภาวการณ์ท่องเที่ยวที่ยังไม่คลี่คลาย อย่างไรก็ดี ปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นความเสี่ยงที่สามารถกระทบกับเงินเฟ้อของทั่วโลกรวมถึงไทย ที่จำเป็นต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิด
ผู้เขียน : ณัฐนันท์ รำเพย Economist, Bnomics
Reference :
https://tradereport.moc.go.th/TradeThai.aspx
https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/ArticleAndResearch/Pages/FAQ172.aspx?fbclid=IwAR32FnN_y1gsWLD0SZdzB2DjEQZ_mUs-oWgPRIVlnomT5P7sRqThRZYp90A
https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-03-02/commodities-hit-new-highs-as-traders-refuse-to-buy-from-russia
https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-02-23/china-opposes-russia-sanctions-calls-u-s-actions-immoral?fbclid=IwAR1qO1YPY0P09hHzoLgdsFiXnYcG5dCWC275OVBynsUD3GRHJAiOJeX8tNs
https://tradingeconomics.com/russia/inflation-cpi