หนังสือน่าอ่าน : เพราะขี้เกียจวุ่นวาย ชีวิตเลยสบายแบบนี้
ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร
...ถ้ามองว่า ‘ความขี้เกียจ’ คือพฤติกรรมด้านลบที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน และเป็นตัวการให้คุณไม่พานพบความสำเร็จในด้านใดเลย
เพราะแม้จะมีเวลา 1,440 นาทีต่อวัน และ 525,600 นาทีต่อปีเท่ากันทุกคน แต่ถ้าเวลาดังกล่าวสูญเสียไปกับความขี้เกียจซึ่งเป็นพฤติกรรมและสภาพอารมณ์ด้านลบ
มีแต่จะทำให้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้น จนสุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนเฉื่อยชา ล้มเหลว
และขาดความเชื่อมั่นตนเองไปในที่สุด
สิ่งนี้เรียกว่าความ ‘ขี้เกียจแบบขี้โกง’
คือหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำในสิ่งที่ต้องทำ หรือควรจะทำ
ก็ย่อมไม่เกิดผลดีต่อใครทั้งสิ้น
ในทางกลับกันถ้าลองปรับมุมมองความขี้เกียจเป็นพลังงานและสภาพอารมณ์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มุ่งแต่จะส่งผลในด้านลบต่อชีวิตของเรา หนำซ้ำยังเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่สามารถจัดการชีวิตให้ง่ายขึ้น ลดความซับซ้อนขึ้น และประสบความสำเร็จได้แม้จะเป็นคนขี้เกียจก็ตาม เราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความขี้เกียจชั้นหน้า’
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ก็นั้นแหละ ‘ขึ้นอยู่กับว่าจะมองแบบไหน’ และ ‘เลือกที่จะเป็นคนแบบไหน’ เพราะเอาเข้าจริงจากอดีตถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการมนุษย์หากไม่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
ก็จะปรับตัวตามสภาพได้ช้าตามสถานการณ์ แต่หากมีแนวโน้มว่าจะเกิดเป็นวิกฤตสูญพันธุ์
ก็จะมีวิวัฒนาการเพื่อการปรับตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกับที่ชาลส์ โรเบิร์ต
ดาวินส์ นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ กล่าวไว้
“ผู้ที่จะอยู่รอดได้ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดหรือฉลาดที่สุด
แต่เป็นผู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก”
และบังเอิญไปเจอหนังสือแปลเล่มหนึ่งมีชื่อเรื่องที่น่าสนใจ ‘เพราะขี้เกียจวุ่นวาย ชีวิตเลยสบายแบบนี้’ เขียนโดย นะโอะยุกิ ฮนดะ ซึ่งเป็นซีอีโอด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานในญี่ปุ่น
แปลโดย คุณธาลินี โพธิ์อุบล ทำให้ได้รับทราบคำนิยามของความขี้เกียจไว้อย่างน่าสนใจ
เพราะเอาเข้าจริง ‘ความขี้เกียจ’ จากมุมมองในหนังสือกลับมีประโยชน์และทำให้คุณไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้เช่นกัน
...แถมอาจจะสะดวกสบายกว่าด้วย
เคยได้ยินมาบ้างเช่นกันว่า ‘ขยันผิดที่
ไม่มีทางประสบความสำเร็จ’ เรื่องนี้ผู้เขียนเองก็ไม่มีทฤษฎี
หรือกรณีตัวอย่างมายืนยัน เอาแค่ว่าเคยได้ยิน ได้ฟังมา เลยนำมาเปรียบเปรยกับหนังสือเล่มนี้
ที่กำลังบอกเล่าเรื่องความเขียนเกียจ (ชั้นแนวหน้า)
บอกเล่าวิธีคิดแบบคนขี้เกียจสไตล์นักเขียนญี่ปุ่นที่บางแง่มุมก็ยังคงมีกลิ่นรสของความเป็น
‘เซน’ อยู่ แม้จะเบาบางก็ตาม
ดังนั้น Keyword ของหนังเล่มนี้จึงขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘เพราะขี้เกียจก็เลย.....’
ยกตัวอย่างเช่นเพราะขี้เกียจเริ่มใหม่
...ก็เลยต้องเดินหน้าทำสิ่งที่ตั้งใจให้สุดกำลัง เพราะขี้เกียจรอความหวังลมล้มแล้งๆ
จึงลงมือทำด้วยตัวเองให้ดีที่สุด และจริงอยู่ คุณอาจมองว่าสิ่งเหล่านี้แค่เป็น ‘นามธรรม’
ก็แค่ใช้ความสามารถทางภาษาตกแต่งคำให้ดูขัดแย้ง แต่จริงๆ
ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เรียกว่านามธรรมและความรู้เดิมๆ เท่าไหร่
จริงที่สุด...เราคงไม่สามารถถกเถียง หรือแก้ต่างในประเด็นนี้ได้ ก็แค่การใช้การสำบัดสำนวนให้ดูน่าตื่นเต้น
ขัดแย่ง และเชื่อมโยง
แต่ภายในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีดีแค่สำนวน แต่เป็น ‘mindset’ ที่บอกเล่าวิธีคิดแบบคนขี้เกียจที่ยังรักความก้าวหน้า ใช้การเล่าเรื่องง่ายๆ
ภาพประกอบที่เปรียบเทียบให้เห็นชัดในเรื่องที่เรามักขี้เกียจในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจจะเปลี่ยน
‘ทัศนคติ’ คุณให้เป็นคนขี้เกียจที่จัดการชีวิตได้อย่างราบรื่นแถมสะดวกสบายอีกต่างหาก
และอย่างที่กล่าวในข้างต้น เรามีเวลา 525,600 นาทีสำหรับ 1 ปี คนปกติอาจใช้ไปกับการทำงาน 175,200 นาที แต่คนบางคนอาจมีความสามารถในการจัดการเวลาได้ไม่เท่ากัน
และคนขี้เกียจชั้นแนวหน้า อาจจัดการเวลาได้ดีกว่าคนขยันก็ได้
แต่ไม่ว่าจะขี้เกียจหรือขยัน สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ต่างหากคือสิ่งชี้วัดคุณภาพในสิ่งที่ทำ
ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองจะเลือกไปสู่เป้าหมายด้วยวิธีไหน