การเจรจาความตกลงการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป
(EU) ในรอบที่ 9 ได้เสร็จสิ้น เมื่อวันที่
2 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถบรรลุความตกลงได้ โดยเฉพาะประเด็นสิทธิในการประมง
กฎระเบียบด้านความช่วยเหลือของรัฐ (State Aid) และการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน
(level of playing field) ทั้งนี้ นาย Boris Johnson ยังคงย้ำว่าสหราชอาณาจักรต้องการความตกลงทางการค้ากับ
EU ในรูปแบบเดียวกับความตกลงการค้าเสรีระหว่าง EU กับแคนาดา และสหราชอาณาจักรก็พร้อมที่จะออกจาก EU โดยไม่มีข้อตกลงเมื่อสิ้นสุดลงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน
(Transition Period) ในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ หลังจากที่สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปได้เจรจาความตกลงการค้าหลังจาก Brexit ร่วมกันมาเป็น ระยะเวลากว่า 6 เดือน และการเจรจาได้ล่วงเลยกรอบเวลาการเจรจารอบสุดท้ายไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังคงไม่มีทีท่าที่จะสามารถสรุปความตกลงกันได้ในประเด็นสำคัญหลายประเด็น เช่น สิทธิการประมง และการออกกฎหมายภายในประเทศ เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในการประชุม EU Summit ในช่วงวันที่15-16 ตุลาคม
ที่ผ่านมา ผู้นำหลายประเทศของ EU ได้เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรแสดงความจริงใจในการเจรจา
โดยยอมรับข้อเสนอของสหภาพยุโรปเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถมีความตกลงการค้าร่วมกันได้
โดยผู้นำหลายประเทศได้ให้ความเห็นในเรื่องการจัดทำความตกลงไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
อาทิ นาง Angela Markel นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี
เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรดำเนินการเจรจาความตกลงการค้าต่อไป
และเห็นว่าสหภาพยุโรปพร้อมที่จะปรับท่าทีในการเจรจา เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ในที่สุด
ในขณะที่นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรยอมรับข้อเรียกร้องทั้งหมดของสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม
สหภาพยุโรปได้เสนอให้มีการเจรจาต่อไปอีกเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของข้อตกลงการค้า
ทางด้านฝ่ายสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่
16 ต.ค 63 นายกรัฐมนตรี นาย Boris
Johnson ได้ออกแถลงเรื่อง การเจรจาความตกลงการค้าร่วมกับสหภาพยุโรป
ว่าสหราชอาณาจักรพร้อมที่จะยุติการเจรจาหากสหภาพยุโรปไม่ปรับท่าทีการเจรจาให้ยอมรับข้อเสนอของสหราชอาณาจักร
และสหราชอาณาจักรพร้อมที่จะมีความตกลงการค้าในรูปแบบเดียวกันกับความตกลงการค้าระหว่างสหภาพยุโรป–ออสเตรเลีย
(การค้าอยู่ภายใต้กรอบของ WTO มีการจัดทำ framework
agreement ที่ครอบคลุมความร่วมมือหลายด้าน
และอาจมีข้อตกลงการค้ารายสาขา)
อย่างไรก็ตามการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ที่เดิมได้วางแผนไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ 19 ตุลาคม ได้ถูกยกเลิก โดย Lord Frost หัวหน้าคณะเจรจาของสหราชอาณาจักร
ได้หารือกับนาย Barnier หัวหน้าคณะเจรจาของสหภาพยุโรป
หลังจากการยกเลิกการเจรจาดังกล่าว ถึงแม้สหภาพยุโรปจะต้องการหารืออย่างเข้มข้น เพื่อสรุปผลการเจรจาให้ได้ในช่วง
4 สัปดาห์ที่เหลือก็ตาม
ฝ่ายสหราชอาณาจักรยังเห็นว่าหากสหภาพยุโรปยังคงยืนยันท่าทีเดิม
ที่ต้องการให้สหราชอาณาจักรยอมรับข้อเรียกร้องโดยไม่ยืดหยุ่นท่าทีในการเจรจาจากเดิม
ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเริ่มต้นเจรจากันอีกครั้ง ทั้งนี้การประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปจะดำเนินต่อไป
เพื่อให้สามารถสรุปการบังคับใช้ Withdrawal Agreement
ได้
นอกจากนี้
รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้เริ่มประชาสัมพันธ์ต่อธุรกิจต่างๆ ภายใต้หัวข้อ “time is running out” (เวลากำลังจะหมดลง)
โดยแจ้งต่อภาคธุรกิจกว่า 2 แสนรายในสหราชอาณาจักรให้เตรียมพร้อมต่อ
Brexit โดยไม่มีข้อตกลงการค้าในเดือนมกราคม 2564
ในขณะที่การค้าภายใต้กฎระเบียบของสหราชอาณาจักร
อาจเป็นโอกาสในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้รัฐบาลได้แจ้งให้ภาคเอกชนเตรียมพร้อมในเรื่องพิธีการศุลกากรที่จะเกิดขึ้นหลัง
Brexit การเดินทางไปทำธุรกิจในสหภาพยุโรป ที่อาจต้องใช้
Visa หรือใบอนุญาตการจ้างงานคนจากสหภาพยุโรป
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล และการเตรียมพร้อมในเรื่องใบอนุญาตต่างๆ หากต้องการดำเนินธุรกิจในสหภาพยุโรปอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นดังกล่าว สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน ได้มีคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย
ว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ส่งออกไทยนั้น อาจได้รับผลกระทบในเรื่องกฎ ระเบียบ
หรือมาตรฐานสินค้าที่แตกต่างกันระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป
ซึ่งผู้ส่งออกควรศึกษาให้แน่ใจว่าหน่วยงานที่ให้การรับรอง มาตรฐาน
หรือการออกมาตรฐานต่างๆ เป็นหน่วยงานที่สหราชอาณาจักรหรือสหภาพยุโรปยอมรับ
ในส่วนของการขนส่งระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าจะต้องมีพิธีการศุลกากรเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งสินค้าระหว่างกัน
ดังนั้นการส่งออกของไทยอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนการขนส่งและอัตราภาษีนำเข้าที่แตกต่างกันไปตามจุดหมายปลายทางของสินค้า
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน
: The Telegraph/The guardians/Sky News/BBC