หลังสหราชอาณาจักร หรือ ยูเค ได้ผ่านการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ อียู (Brexit) อย่างเป็นทางการมาเป็นเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา นับจากวันที่ 1 มกราคม 2564 ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าและการลงทุนระหว่างกันเป็นอย่างมาก เพราะต้องยุติระบบการเป็นตลาดเดียวกันหรือ Single Market และสิ้นสุดการเป็น Custom Union ที่เคยเป็นยาวนานถึง 47 ปี
ทั้งนี้ แม้ว่ายูเคและอียูจะเตรียมพร้อมได้มีการเจรจาทำตกลงกันเป็นอย่างดี รวมทั้งได้ข้อสรุปว่าจะไม่มีภาษีและไม่มีโควตาระหว่างกัน แต่ทว่าก็ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) โดยเฉพาะจากพิธีการศุลกากรเพิ่มมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ซึ่งนั่นได้สร้างปัญหาด้านการขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างยูเคและอียู ทำให้เกิดความล่าช้าอย่างมาก เนื่องจากหลังจากแยกจากกันแล้ว ผู้ที่ส่งสินค้าข้ามพรมแดนจะต้องมีเอกสารประกอบการขนส่งมากขึ้น เช่น หนังสือรับรองด้านสุขภาพ (Health Certification) จึงนำไปสู่ปัญหาทางปฏิบัติ เช่น เอกสารไม่ถูกต้อง นอกจากความล่าช้าแล้ว ปัญหานี้ยังทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการขนส่งเพิ่มสูงขึ้น
แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ขนส่งสินค้าในเยอรมัน บริษัท Transporeon ระบุว่า ต้นทุนการส่งออกสินค้าจากยูเคไปยังอียูสูงขึ้น 47% เมื่อเทียบกับก่อนที่จะ Brexit เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ขณะที่ต้นทุนจากฝรั่งเศสไปยังยูเคเพิ่มขึ้น 39% และต้นทุนขนส่งจากเยอรมันไปยูเค เพิ่มขึ้น 26% เป็นต้น
ด้วยปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ของทั้งสองฝ่ายชะลอการส่งออกสินค้าชั่วคราว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการฝั่งยูเคชะลอการส่งออกสินค้าไปยังอียูถึงประมาณ 20% ซึ่งอาจจะส่งผลให้อียูต้องหาสินค้ามาทดแทนยูเค โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มประมง
โดยข้อมูลจากธนาคาร Bank of England คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของยูเคจะได้รับผลกระทบจากปัญหาอุปสรรคด้านพิธีการศุลกากร ทำให้เกิดปัญหากระทบค้าการชายแดนมูลค่า 5,000 ล้านปอนด์
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ลอนดอน เปิดเผย ข้อมูลสหพันธ์ธุรกิจขนาดเล็กของสหราชอาณาจักร (Federation of Small Businesss : FSE) ระบุว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีของยูเคได้รับผลกระทบจาก
Brexit โดยเฉพาะจากปัญหาเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) เพิ่มขึ้น 20% และหลังจากแยกตัวแล้ว
การจำหน่ายสินค้าระหว่างกันจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีการจำหน่ายสินค้า (Sale Tax) อัตราสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับชนิดสินค้า
ดังนั้น ทางผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว เช่นเดียวกับผู้ประกอบการยูเคที่ต่างก็ปรับตัวโดยการพยายามหาพื้นที่ตั้งคลังสินค้า และจุดกระจายสินค้าในอียู โดยเฉพาะในเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป คือ Rotterdam Port
เบื้องต้นมีตามข้อมูลของ Netherland Foreign Investment Agency (NFIA) ระบุว่ามี บริษัทจากยูเค 250 บริษัท ติดต่อเพื่อขอเข้าไปลงทุนในอียูเพื่อแก้ปัญหา เพราะในความตกลงเรื่องการค้าระหว่างยูเคและอียู ให้ความชัดเจนเฉพาะเรื่องภาษีและเรื่องโควต้า แต่กลับไม่ได้กำหนด “เรื่องกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า” หรือ Rules of Origin หมายถึงสินค้าที่ใช้ฐานผลิตหรือส่งไปรีเอ็กซ์พอร์ตจากยูเคเพื่อส่งออกไปอียู จะต้องถูกเรียกเก็บภาษี VAT และภาษีการค้าเช่นกัน นั่นย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ค้าขายกับสองประเทศนี้อย่างแน่นอน