ประเทศบรูไน หรือชื่อทางการว่า “รัฐบรูไนดารุสซาลาม”
(State of Brunei Darussalam) หรือในภาษามาเลย์ว่า
เนการาบรูไนดารุสซาลาม (Negara Brunei
Darussalam) มีรายได้หลักมาจากการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
โดยบรูไนส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกว่าร้อยละ 90 ของการส่งออกทั้งหมด
เนื่องจากปริมาณการบริโภคภายในประเทศค่อนข้างน้อยด้วยมีจำนวนประชากรประมาณสี่แสนคน
ที่ผ่านมารัฐบาลบรูไนตระหนักดีว่าพลังงานที่ครอบครองอยู่นั้นกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
จึงเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยประกาศแผนพัฒนาระยะยาว “วิสัยทัศน์บรูไน
ปี 2578” (Wawasan 2035 – Vision Brunei 2035)
แผนพัฒนาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าบรูไนให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคเศรษฐกิจอื่นนอกจากภาคพลังงานที่ไม่ต้องการพึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียว
รวมถึงการส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ
จากรายงานของ World Economic Outlook 2019: Growth Slowdown, Precarious Recovery ของ International
Monetary Fund (IMF) เศรษฐกิจบรูไนถูกคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวในระดับปานกลางภายใน
2 ปีข้างหน้าและจะเริ่มชะลอตัวหลังจากนั้น โดยมีอัตราขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.8 (ปี
2562) ร้อยละ 6.6 (ปี 2563) และร้อยละ 2.2 (ปี 2567)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ขณะที่รายงาน Asian Development Outlook 2019:Strengthening Disaster Resilience ของ Asian
Development Bank (ADB) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจบรูไนในปี
2562 และปี 2563 จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.0 และ 1.5 ตามลำดับ ซึ่งก็คาดการณ์ในที่ดีกว่า
ยังคงการเติบโตแม้จะไม่ดีมากนัก
ทั้งสองรายงานแตกต่างกันแล้วจะเชื่อใครดี
?
รายงานทั้งสองฉบับมีการคาดการณ์แนวโน้มอัตราการการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่างกัน
โดยรายงานของ IMF ได้วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเกิดการชะลอตัวในต้นปี 2562 เพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค
อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน สถานการณ์ Brexit ปัญหาหนี้สินและการเงิน
และอื่น ๆ แต่ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้หากสถานการณ์ต่าง ๆ คงที่ และเศรษฐกิจใหญ่ ๆ
เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และอินเดียยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
(Emerging Market and Developing
Economies) สามารถคงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ
5
ส่วนรายงานของ ADB จะเน้นการวิเคราะห์สถานะและปัจจัยเศรษฐกิจรายประเทศ
โดยได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจบรูไนจะสามารถเติบโตได้ในอัตราที่ต่ำ
เนื่องจากยังคงพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก
ในขณะที่แนวโน้มใหม่ของโลกเริ่มนิยมใช้พลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งราคาน้ำมันโลกยังคงถูกกด จึงส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจบรูไนในระยะยาว
นอกจากนี้ การปิดซ่อมแซมโรงกลั่นน้ำมันของบรูไน ได้แก่ Hengyi Refinery ที่ Palau Muara Besar และ Brunei Fertilizer Industries ที่ Sungai Liang Industrial Park ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจบรูไนในระยะสั้นอีกด้วย
สภาวะเศรษฐกิจบรูไนฯ ในครึ่งปีแรก
ด้านการค้า : กรมการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจ (Development of Economic Planning and Development) ได้รายงานข้อมูลมูลค่าการค้าบรูไนในไตรมาสแรก ดังนี้
ในเดือนมกราคมมีมูลค่าการค้าที่ BND 1,436.7 ล้าน (ขยายตัวร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน)
กุมภาพันธ์มูลค่าการค้า BND 1,038.9 ล้าน (หดตัวร้อยละ 27.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน)
และมีนาคมมูลค่าการค้า BND 1,144.9 (ขยายตัวร้อยละ 24.2 m-o-m)ทั้งนี้ 5
ประเทศแรกที่บรูไนส่งออกสินค้าไปมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลี มาเลเซีย
และสิงคโปร์ ส่วน 5 ประเทศแรกที่บรูไนนำเข้าสินค้ามากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย
สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ
การลงทุน : รัฐบาลบรูไนยังคงให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก
โดยได้พยายามส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ อาทิ จีน รัสเซีย และมาเลเซีย
เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม Palau Muara
Besar อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร
และองค์ความรู้เกี่ยวกับการผลิตน้ำมันและก๊าซ ในขณะเดียวกัน
รัฐบาลบรูไนได้พยายามส่งเสริมให้มีการลงทุนมากยิ่งขึ้นในภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลาย
ได้แก่ อุตสาหกรรมฮาลาล อุตสาหกรรมด้านการเกษตร อุตสากรรมโลจิสติกส์
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เป็นต้น
ปัญหาการตกงานในบรูไน : กรมการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจ (Development of Economic Planning and Development)ได้รายงานว่า บรูไนมีอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 9.3 (ข้อมูลล่าสุดจากปี 2561) ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐไม่สามารถผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวกระทรวงแรงงานและอุตสาหกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ริเริ่มพัฒนาระบบการบริหารข้อมูลเกี่ยวกับแรงงาน (Labour Management Information System) เมื่อปี 2561 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการแรงงานของภาคเอกชนเข้ากับระบบพัฒนาแรงงานของรัฐ อย่างไรก็ดีระบบดังกล่าวยังไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าจะสามารถเริ่มใช้งานได้เมื่อใด
หลายปีที่ผ่านมาการค้าไทยกับบรูไนมีตัวเลข
3,092.40 ล้านบาท ถือว่าน้อยที่สุดในภูมิภาค แต่อย่างไรก็ตาม
ภาคการลงทุนในบรูไน มีท่าทีเปิดกว้างในด้านการลงทุนมากขึ้น
รวมทั้งการเปิดรับสินค้าต่างประเทศ
เอกชนไทยที่มีศักยภาพอาจใช้โอกาสนี้ในการุกตลาดบรูไน
...ตัวเลขเศรษฐกิจอาจไม่หรูแต่ประเทศนี้กำลังซื้อสูง เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่โฟกัสเท่าที่มากนัก
โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคฮาลาล และเทคโนโลยีด้านการเกษตร
สถานเอกอัครราชทูต ณ
บันดาร์เสรีเบกาวัน