นับเป็นความใฝ่ฝันของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมจนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางดังเช่น “ซิลิคอนวัลเลย์” ซึ่งเป็นชื่อเรียกพื้นที่ตอนใต้ของของอ่าวซานฟรานซิสโก หรือ เบย์แอเรีย อยู่ทางด้านเหนือของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นการสนธิคำระหว่าง “ซิลิคอน” ที่เป็นแหล่งบุกเบิกพัฒนาซิลิคอนชิป ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของการการเก็บข้อมูลหน่วยความจำในระบบคอมพิวเตอร์ และ “วัลเลย์” หรือหุบเขาที่มาซานตา คลารา พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ต้องของเมืองซานโฮเซ ที่ใช้เป็นคำเรียกขานเมืองหลวงของซิลิคอนวัลเลย์ (กรมอเมริกาและแปซิฟิก : 2560)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จุดเริ่มต้นของซิลิคอนวัลเลย์เกิดขึ้นในปี 2441 จากการเป็นแหล่งพัฒนาโทรเลขในสมัยที่มีสงครามสเปน-สหรัฐ จนมาสู่การพัฒนากลายเป็นศูนย์กลางไอทีและนวัตกรรมของโลก ในปัจจุบันบริษัทใหญ่มีการไปตั้งสำนักงานที่นั่นนับร้อยบริษัท เช่น Facebook, Google, Intel, Adobe, Hewlett และ Apple เป็นต้น
แต่ภายหลังซิลิคอนวัลเลย์กลับมีระดับค่าครองชีพสูง ต้นทุนการทำธุรกิจสูง ค่าเช่าสำนักงานสูง รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงทำให้เกิดการกระจายตัวออกมา
ล่าสุด ”แคนาดา” ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคจนเติบโตแบบก้าวกระโดดทั้งจำนวนบริษัท และมูลค่าการลงทุน โดยเฉพาะในเมือง “โตรอนโต” ที่มีบริษัทสตาร์ทอัพใหม่หรือสาขาของบริษัทชั้นนำต่างๆ มาเปิดสำนักงานในแคนาดามากยิ่งขึ้น
“โตรอนโต” กลายเป็นทำเลทองของผู้พัฒนาสตาร์ทอัพมากขึ้นเรื่อยๆ นับจากปี 2559 ที่แทบจะไม่สามารถดึงดูดการลงทุนได้ แต่ล่าสุดโตรอนโตกลายเป็นเมืองไฮเทคที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก มีบริษัทมากมายเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะ “Shopify” ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอีคอมเมิร์ช สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 167,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.1 ล้านล้านบาท และสามารถทำรายได้มากกว่า 25,000 ล้านบาทในไตรมาส 1 ของปี 2564
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโตรอนโต ประเทศแคนาดา ระบุว่า ความสำเร็จของการส่งเสริมการลงทุนด้านนี้เกิดจากการมี “ระบบนิเวศน์ หรือ Eco System” ที่สามารส่งเสริมการเจริญเติบโตของนวัตกรรมใหม่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐและจีน เรียกได้ว่าแคนาดากำลังไล่ตามสหรัฐในเรื่องจำนวนความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพ (Success Story)
โดยปัจจัยสำคัญที่เป็นเร่งส่งเสริมให้แคนาดาสามารถผันตัวเองกลายเป็นฮับด้านการลงทุนไฮเทค มาจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กีดกันแรงงานทักษะชั้นสูงจากต่างประเทศ รวมถึงการออกวีซ่าทำงานล่าช้าเมื่อ 4 ปี ก่อน ทำให้แรงงานดังกล่าวเกิดสมองไหลเข้าสู่แคนาดา ซึ่งมีนโยบายเปิดรับต่างชาติมากกว่า 400,000 คนต่อปี จนทำให้ปัจจุบันแคนาดามีจำนวนแรงงานทักษะสูง (High Skilled Worker)
โดยเฉพาะในสายอาชีพไอทีสูงกว่าสหรัฐถึง 6 เท่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของกลุ่มสตาร์ทอัพ ทำให้เกิดการสร้างตำแหน่งงานใหม่ในกลุ่มอาชีพนี้ถึงกว่า 80,000 ตำแหน่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2563) และนั่นเป็นสถิติที่ “สูงกว่า” ซิลิคอนวัลเลย์ในสหรัฐฯ
ผลจากความสำเร็จดังกล่าวเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลง “โครงสร้างเศรษฐกิจ” ซึ่งเดิมแคนาดาจะมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ผูกโยงกับกลุ่มสินค้าที่มาจากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซเหมืองแร่ ทองคำ เหล็ก อลูมิเนียม แต่ต่อมาแคนาดาได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทค ทั้งคอมพิวเตอร์โทรคมนาคม โทรคมนาคม และปัจจุบันแคนาดามุ่งสู่การพัฒนาเทคโนโลยีทั้ง Fintech, Artificial Intelligence, Machine Learning, Quantum, Computing, 5G, Medtech และ Advance Manufacturing ซึ่งนั่นมาจากการพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง (High Skilled Worker) จนกลายเป็นจุดแข็งที่สำคัญของประเทศ