ข้อมูลจากรายงาน The 21st Century Business Herald รายงานว่า
จีนติดอันดับหนึ่ง (Top list) ในบรรดาประเทศที่มีบริษัทยูนิคอร์นปัญญาประดิษฐ์
(AI) มากที่สุดในโลก และจากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศจีนปี
2562 พบว่าจีนมีจำนวนบริษัทยูนิคอร์น AI มากถึง 206 แห่ง เมื่อพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ปี 2558–2562
พบว่า บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีนสามารถระดมทุนได้ถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 2 ของโลก
และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 ของโลก
นอกจากนี้ ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2563 ยังพบว่า จีนมีบริษัทหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Smart Robot) 1,499 บริษัท, บริษัทโดรน (Drone) 2,707 บริษัท, บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Face Recognition) 6,722 บริษัท, บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเสียงอัจฉริยะ (Smart Voice) 2,855 บริษัท และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่อัจฉริยะ (Smart Driving) 6,143 บริษัท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในปี 2562
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนยังได้เปิดตัวนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนา
AI ภายในประเทศขึ้นอีกมากถึง 276 นโยบาย
ขณะที่มีการคาดการณ์ส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจดจำใบหน้าของจีน
(Face Recognition) ว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดมากถึงร้อยละ 44.59
ของส่วนแบ่งการตลาดทั้งหมดของโลกภายในปี 2566 ปัจจุบันยังพบว่าจีนยังมีหุ่นยนต์อุตสาหกรรมประมาณ
783,000 ตัวทำงานอยู่ในโรงงานของจีน และการระบาดของโรค COVID
– 19 ยังมีส่วนทำให้การพัฒนา AI ในด้านการแพทย์ของจีนมีความก้าวหน้าและรวดเร็วมากขึ้นด้วย
เห็นได้ชัดว่าจีนถือเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ในการผลักดันบริษัทสตาร์ทอัพให้ไต่ ระดับสู่การเป็นยูนิคอร์น จึงเป็นที่น่าจับตามองและนำมาเป็นเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากจีนสามารถพัฒนาบริษัทที่มีเทคโนโลยี
และหลอมรวมนวัตกรรมเทคโนโลยีโอกาสทางการตลาด และวัฒนธรรมดิจิทัลต่างๆ
ให้เข้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้ให้แก่องค์กรได้อย่างมหาศาลภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ
รวมทั้งประเทศไทยด้วย เนื่องจากยูนิคอร์นส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับตลาดอีคอมเมิร์ซ
ที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ ระบบการชำระเงินออนไลน์
และเทคโนโลยีด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้จะก่อให้เกิดความน่าสนใจและดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุน
โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่อย่างไรก็ตามในยุคที่สถานการณ์โรค COVID-19 ยังคงสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ยูนิคอร์นสตาร์ทอัพหลายแห่งต่างได้รับผลกระทบและเริ่มประสบกับปัญหาทางการเงินเช่นกัน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว
ให้คำแนะนำต่อเรื่องนี้ว่า ผู้ประกอบการไทยที่เป็นสตาร์ทอัพที่ต้องการยกระดับเป็นยูนิคอร์นหรือขยายโอกาสในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ
ต้องมีความระมัดระวังในการบริหารจัดการองค์กร ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน
กำหนดมูลค่าของสินค้าให้ เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
รวมถึงระดมทุนอย่างระมัดระวัง
และอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการจัดตั้งบริษัทที่กำหนดไว้
เพื่อรักษาความเป็นตัวตนของบริษัทสตาร์ทอัพ และวัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจอย่างทั่วถึง
เพื่อให้สามารถปรับตัวและปรับกลยุทธ์ธุรกิจได้อย่างเหมาะสม
เมื่อต้องเผชิญกับผลกระทบภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ อย่างเช่นสถานการณ์การระบาดของโรคภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แหล่งอ้างอิง : http://global.chinadaily.com.cn/