ระหว่างวันที่ 1-30
มกราคม 2564 กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเปิดให้วิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศมาต่อทะเบียน
โดยแสดงความประสงค์จะดำเนินกิจการต่อ ด้วยการยื่นแบบ สวช.03
พร้อมเอกสารหลักฐานประกอบการต่อทะเบียน 9 รายการ ต่อสำนักงานเกษตรอำเภอ เพื่อให้นายทะเบียน
(เกษตรอำเภอ) พิจารณาอนุมัติต่อทะเบียนวิสาหกิจชุมชนประจำปี
การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้วิสาหกิจชุมชนยื่นขอต่อทะเบียนประกอบกิจการเป็นประจำทุกปี เป็นการอัพเดตข้อมูลเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นนิติบุคคลที่มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าถึงความช่อยเหลือและบริการต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐได้สะดวกมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ภาครัฐส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนแบบครบวงจร
ตั้งแต่ส่งเสริมการจัดตั้ง ให้ความรู้ การศึกษาวิจัย ในการนำทุนชุมชนมาใช้เหมาะสม
ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การรักษาคุณภาพ การศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและการตลาด
ให้สามารถเป็นผู้ประกอบการหรือพัฒนาไปสู่การประกอบธุรกิจขนาดย่อม และขนาดกลาง (เอสเอ็มอี)
ต่อไป
การส่งเสริมเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน
ด้วยการสนับสนุนการจัดตั้ง การประกอบการ การตลาด
สร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างเครือข่าย หรือภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอื่น
ฯลฯ หากวิสาหกิจชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนไม่ยื่นขอต่อทะเบียน
นอกจากไม่ได้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว กรณีไม่ยื่นขอต่อทะเบียนเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน
ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือเตือน
นายทะเบียนจะดำเนินการเพิกถอนทะเบียนวิสาหกิจชุมชน ตามกระบวนขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด
โดยในรอบต่อไปจะดำเนินการเพิกถอนทะเบียนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน
2564 อย่างไรก็ตาม กรณีขาดคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ หรือฝ่าฝืนระเบียบ นายทะเบียนสามารถดำเนินการเพิกถอนทะเบียนได้ตลอดทั้งปี
ทั้งนี้กรมส่งเสริมการเกษตร ได้เปิดรับจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ตาม พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2548 ล่าสุดวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 มีวิสาหกิจชุมชนได้รับการอนุมัติให้จดทะเบียนทั่วประเทศรวม 93,130 แห่ง จำนวนสมาชิก 1,578,376 ราย เครือข่ายวิสาหกิจชุนชน 563 แห่ง จำนวนสมาชิก 12,963 ราย
จำแนกตามกลุ่มกิจการผลิตสินค้า
5 ลำดับแรก
1. วิสาหกิจชุมชนที่ประกอบกิจการประเภทการผลิตพืชมากที่สุด
32,902 ราย คิดเป็น 37%
ของจำนวนวิสาหกิจชุมชนทั้งหมด
2. วิสาหกิจชุมชนประเภทการผลิตปศุสัตว์
27,245 ราย คิดเป็น 30%
ของทั้งหมด
3. วิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร
12,716 ราย คิดเป็น 14% ของทั้งหมด
4. วิสาหกิจชุมชนประเภทการผลิตปัจจัยการผลิต
9,223 ราย หรือ 10% ของทั้งหมด
5. วิสาหกิจชุมชนประเภทผลิตภัณฑ์ผ้าทอ-เสื้อผ้า
8,213 ราย หรือ 9% ของทั้งหมด
ส่วนเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจำแนกตามกลุ่มกิจการผลิตสินค้า
5 ลำดับแรก ประกอบด้วย
1. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทการผลิตพืช
231 ราย คิดเป็น 39%
ของทั้งหมด
2. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทการผลิตปศุสัตว์
149 แห่ง 25% ของทั้งหมด
3. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร
109 แห่ง 18% ของทั้งหมด
4. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทการผลิตปัจจัยการผลิต
63 แห่ง หรือ 11% ของทั้งหมด
5. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทผลิตภัณฑ์ผ้าทอ-เสื้อผ้า 44 แห่ง หรือ 7% ของทั้งหมด
จัดตามกลุ่มกิจการบริการ
3 ลำดับแรก ประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชนประเภทออมทรัพย์ชุมชน 4,034 แห่ง, วิสาหกิจชุมชนประเภทร้านค้าชุมชน
1,983 แห่ง และวิสาหกิจชุมชนประเภทท่องเที่ยว 1,529 แห่ง
ส่วนเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจำแนกตามกลุ่มกิจการบริการ
3 ลำดับแรก ได้แก่ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนประเภทร้านค้าชุมชน 33 แห่ง, ประเภทท่องเที่ยว 31 แห่ง และประเภทออมทรัพย์ชุมชน 22 แห่ง
จังหวัดที่มีการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนมากที่สุด
5 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยเอ็ด 5,165 แห่ง, ศรีสะเกษ 4,185 แห่ง, มหาสารคาม 3,949 แห่ง, ขอนแก่น 3,587 แห่ง และบุรีรัมย์ 3,427 แห่ง
ส่วนจังหวัดที่มีการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนน้อยสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ สมุทรสาคร 146 แห่ง, สมุทรสงคราม 175 แห่ง และสิงห์บุรี 181 แห่ง