พอถึง “วันเด็ก”
หลายองค์กรแสดงความใส่ใจพนักงาน ด้วยการจัดกิจกรรมวันเด็กให้ครอบครัวคนทำงานได้มาทำกิจกรรมสนุกๆ
ด้วยกัน อีกหลายหน่วยงานมอบทุนการศึกษาให้กับบุตรหลานพนักงาน
กิจกรรมเหล่านี้มีความหมายเพียงใดสำหรับคนทำงาน ที่อีกด้านต้องรับบทพ่อแม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
องค์กรยุคใหม่เริ่มเข้าใจแล้วว่า การจะได้คนเก่งมาทำงานหรือรักษาคนมีความสามารถไว้ได้ในยุคแห่งการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นทุกขณะ จำเป็นต้องใส่ใจกับความต้องการของคนทำงาน (Personal needs)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เคยมีการสำรวจโดยสถาบันวิชาการในสหรัฐ
พบว่าคนวัยทำงานส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องการดูแลครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องลูก
และที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างในสังคมผู้สูงวัย ก็คือการดูแลพ่อแม่ที่แก่ชรา
ที่ผ่านมา
องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่มองชีวิตครอบครัวของคนทำงานแบบไม่เป็นมิตร โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ถูกคาดหวังบทบาทความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก
หลายแห่งถึงกับมีการถามตอนสัมภาษณ์งานเลยว่าผู้สมัครมีการวางแผนครอบครัวไว้อย่างไร
เตรียมจะมีลูกหรือเปล่า ถ้าใช่ อาจทำให้คะแนนติดลบ
หรือบางบริษัทมีการทำสัญญากับพนักงานใหม่เลยว่าจะไม่ตั้งครรภ์ภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ตามที่ตกลงกัน
วันนี้ในหลายประเทศ
ภาคธุรกิจเริ่มเปลี่ยนมุมมองปรับแนวทางการบริหารบุคลากร เพราะเริ่มรู้แล้วว่า คนทำงานที่ต้องสูญเสียประสิทธิภาพงานไปกับการดูแลครอบครัว
อาจเป็นคนมีความรู้ความสามารถสูง ฉะนั้นวิธีที่ดีกว่าสำหรับทุกฝ่าย
คือการดูแลเพื่อให้คนทำงานสามารถจัดการชีวิตครอบครัวและการทำงานได้อย่างสมดุล หรือที่เรียกว่า
Work Life Balance
มีผลสำรวจด้วยว่าถ้าองค์กรสามารถตอบโจทย์นี้ให้กับพนักงาน
จะเป็นการสร้าง Employee engagement
(ความผูกพันและภาคภูมิใจ) ได้ดีที่สุด และคนกลุ่มนี้จะทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่
เพราะรู้ดีว่าองค์กรที่ใส่ใจเรื่องครอบครัวที่ถือเป็นความสำคัญสูงสุดสำหรับทุกคนหาไม่ได้ง่ายนัก
เสริมสมรรถนะ มนุษย์งานพ่อแม่
สิ่งสำคัญที่องค์กรจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้กับกลุ่มคนทำงานที่เป็นกลุ่มพ่อแม่
ตัวอย่างที่มีการกันใช้ในองค์กรยุคใหม่ เช่น
- การทำงานที่ยืดหยุ่น ปัจจุบันมีแนวโน้มในต่างประเทศ ที่องค์กรจะเข้มงวดกับกระบวนการลดลง
แต่หันมาสนใจผลลัพธ์ของทำงานเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นที่คนทำงานจะต้องตอกบัตรเข้างาน 8
โมงเช้า และเลิกงานตอน 5 โมงเย็น แต่สามารถกำหนดเวลาเข้า-ออกได้เอง โดยอาจนับชั่วโมงการทำงานแทน
บางแห่งมองว่างานจะทำที่ไหน เมื่อไร ก็ได้ ขอแค่ให้ได้ผลงานมีคุณภาพ จึงกำหนดจำนวนวันในแต่ละเดือน
เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานจากข้างนอก กลุ่มคนทำงานที่เป็นพ่อแม่ก็จะสามารถบริหารจัดการเวลาสำหรับครอบครัวได้ดีขึ้น
ไม่เฉพาะในการดูแลลูก แต่ยังรวมถึงการดูแลพ่อแม่สูงวัยอีกด้วย
- สถานที่ดูแลเด็ก การขาดสถานที่รับดูแลเด็กที่มีคุณภาพ เป็นเหตุผลของการลาออกจากงานของมนุษย์แม่วัยทำงานจำนวนมากในหลายประเทศ
หลายองค์กรจึงตื่นตัวในการสร้างระบบการดูแลเด็กที่มีคุณภาพให้กับพนักงาน
มีตัวอย่างของบริษัทนิสสัน ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
ที่พัฒนาระบบดูแลเด็กในสถานที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเพิ่มสัดส่วนผู้บริหารหญิงในองค์กรให้สูงขึ้นจากร้อยละ
1.6 ในปี 2004 เป็นร้อยละ 7.1 ในปี 2014
- การสร้างระบบสนับสนุนซึ่งกันและกันของพนักงาน (Group support)
หลายองค์กรใช้วิธีการสร้างกลุ่มกิจกรรมสำหรับพนักงานที่เป็นพ่อแม่ในลักษณะของ
“ชมรมผู้ปกครอง” ในที่ทำงาน เพื่อให้พนักงานได้พูดคุยปรึกษาหารือกัน
และนำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่น การจัดระบบรับส่งลูกๆ
ไปโรงเรียนที่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ทำให้พ่อแม่มีเวลาทำงานเพิ่มขึ้น
และมั่นใจว่าเด็กๆ จะปลอดภัย เป็นต้น
- ดูแลลูกหลานพนักงาน ความเป็นพ่อแม่ ไม่ได้จบลงแค่ลูกเข้าโรงเรียน แต่ลูกในแต่ละช่วงวัยสร้างความห่วงกังวลให้กับพ่อแม่แตกต่างกันไป องค์กรสามารถมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบดูแลบุตรหลานพนักงาน เช่น บริษัทในสหรัฐฯ มีการจัดกิจกรรมเสริมศักยภาพให้กับลูกหลานพนักงานอย่างต่อเนื่อง การดูแลด้านจิตใจสำหรับวัยรุ่นเพื่อป้องกันโรคซึมเศร้า โดยผ่านการสร้างกลุ่มพูดคุยเพื่อระดมความต้องการจากมนุษย์งานพ่อแม่
กิจกรรมต่างๆ ดังที่ยกตัวอย่างมา
องค์กรอาจต้องจัดสรรงบประมาณบางส่วน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วคุ้มค่า
เพราะมีผลการศึกษาที่พบว่าการที่องค์กรมีนโยบายที่เป็นมิตรกับครอบครัว (Family-friendly Policy) ช่วยลดการขาด ลา
มาสายของพนักงาน ลดต้นทุนการดำเนินการ เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงาน
รวมทั้งทำให้องค์กรสามารถรักษาคนทำงานคุณภาพไว้ได้ มนุษย์งานจำนวนหนึ่งไม่ได้ต้องการเงินเดือนที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา แต่จะทุ่มเทให้กับงานมากกว่า ถ้าพบว่าองค์กรมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างดี