หลังจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้ประกาศประเทศไทยถึงการสิ้นสุดฤดูแล้งเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเมื่อวันที่
18 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนทั่วประเทศต่างโล่งใจขึ้นมาได้ระดับหนึ่งเพราะพ้นภัยแล้ง
แต่ก็สร้างความกังวลตามมาเพราะเมื่อเข้าฤดูฝนคงหนีไม่พ้นต้องเผชิญภัยกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ซ้ำซากทุกปี
และหวั่นเกิดเหตุน้ำท่วมซ้ำรอยเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่จังหวัดอุบลราชธานีหนักสุดเมื่อปี
2562 ประชาชนเดือดร้อนทั้งจังหวัดและสร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท
ฤดูแล้งที่ผ่านมาจากการที่ต้องต่อสู้ในการบริหารจัดการ “น้ำน้อย” เข้าหน้าฝนปีนี้ต้องหันมาต่อสู้กับ “น้ำมาก” แทน แต่ทั้ง 2 ปัญหาดังกล่าวภาครัฐได้เตรียมแผนการรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะประเทศไทยเมื่อเข้าสู่หน้าฝน ได้ให้ความสำคัญมากกับการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝน โดยมอบหมายให้ กอนช.เร่งดำเนินการฟื้นฟูและเพิ่มศักยภาพแหล่งเก็บกักน้ำ รวมทั้งให้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างสอดคล้องกับกิจกรรมการใช้น้ำและปริมาณน้ำต้นทุนในแต่ละพื้นที่อย่างครอบคลุม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผนวก 8 มาตรการรับมือน้ำหลากหน้าฝน
สำหรับการดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมรองรับฤดูฝน
ปี 2563
เพื่อดำเนินมาตรการเชิงป้องกันและลดผลกระทบความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นให้มากที่สุด
ดังนี้
1. การคาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วม
โดยใช้ข้อมูลฝนคาดการณ์รายเดือนของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) ในระบบ ONE MAP ร่วมกับข้อมูลทางกายภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น เส้นทางลำน้ำ และข้อมูลพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยที่หน่วยงานจัดทำไว้ อาทิ
พื้นที่แก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) สถานีเฝ้าระวังน้ำท่วมในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2563
พื้นที่การเตือนภัยน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากต่อเนื่อง 5 ปี (ปี
2556 - 2560)
2. การปรับแผนการเพาะปลูกพืช
โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก เช่น ทุ่งบางระกำ
มีการปรับแผนการปลูกข้าวนาปีเร็วขึ้น รวมพื้นที่ 0.265 ล้านไร่ เริ่มตั้งแต่วันที่
1 เมษายน 2563 เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวทันก่อนฤดูน้ำหลาก
และปรับเป็นพื้นที่รับน้ำได้ได้จำนวน 550 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)
3. การจัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำ
เพื่อกำหนดเกณฑ์การระบายน้ำตามการคาดการณ์สภาพฝนในปีนี้ให้กับแหล่งน้ำขนาดใหญ่
อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ รวมถึงขนาดกลาง ขณะเดียวกันยังรวมถึงสถานีวัดน้ำฝน
สถานีวัดน้ำท่า และสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำ สำหรับหน่วยงานใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
4. การตรวจสอบอาคารชลศาสตร์
ระบบระบายน้ำ และสถานีโทรมาตร โดยปัจจุบันมีสถานีในความดูแลของหน่วยงานต่างๆ เช่น
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต กรมชลประทาน สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์กรมหาชน) รวม 1,317
สถานี โดยได้รับการตรวจสอบซ่อมแซมเรียบร้อยเกือบทั้งหมด 100%
5. การตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ
ซึ่งจากการตรวจสอบทั่วประเทศ 625 แห่ง
มีการปรับปรุงแก้ไขมิให้เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำแล้ว 186 แห่ง
ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
6. การสำรวจแม่น้ำคูคลองและดำเนินการขุดลอก กำจัดผักตบชวา โดยเร่งรัดติดตามการจัดเก็บผักตบชวาในแหล่งน้ำด้วยเรือท้องแบนที่ได้จัดซื้อไว้แล้ว
โดยให้ท้องถิ่นมีการจัดเก็บทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการกำจัดวัชพืช
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 11 พฤษภาคม 2563 ดำเนินการแล้วกว่า 2 ล้านตัน
ขณะเดียวกันยังขอความร่วมมือประชาชนไม่ทิ้งขยะลงในแม่น้ำ คลอง และท่อระบายน้ำ
ที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำด้วย
7. เตรียมความพร้อมเครื่องจักร
หน่วยงานต่างๆ ได้ตรวจสอบเครื่องมือช่วยเหลือประชาชนในกรณีเกิดอุทกภัยจำนวนรวม
7,661 เครื่องมือ และได้ดำเนินการบำรุงรักษาให้พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว
8. สร้างการรับรู้กับประชาชน
โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ร่วมถึงเครือข่ายคณะกรรมการลุ่มน้ำ
เพื่อสร้างเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลายโครงการอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนของรัฐบาล ตามแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ 20 ปี (2561-2580) ทั่วประเทศ แก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชน