วิกฤตโควิด 19 เมื่อปีที่ผ่านมา กลายเป็นโอกาสทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการอีคอมเมิร์ซมากขึ้นและเร็วขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งตามข้อมูลของ e-Conomy SEA ปี 2564 ที่จัดทำโดย Google และ Temasek ระบุว่า ปัจจุบันประชากรอาเซียน 70% จากจำนวนประชากรอาเซียนที่มีอยู่เกือบ 600 ล้านคน เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และโควิดเป็นตัวเร่งทำให้มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรายใหม่เกิดขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา CEO และผู้ก่อตั้ง
‘Priceza’ คาดการณ์ว่าธุรกิจ
E-commerce ทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
50% ในปี 2021 อย่างแน่นอน
ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วง สังเกตจากพฤติกรรมการ ‘จับจ่าย’ และ ‘จำหน่าย’
สินค้าออนไลน์ผ่าน Marketplace
และ Social Media ในไทยช่วงวิกฤตโควิด
19 ที่สถานการณ์บังคับทำให้เกิดผู้ใช้งานรายใหม่
ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายต่างต้องเข้ามาเรียนรู้วิธีการใช้งานระบบออนไลน์มากขึ้น
ซึ่งหากพิจาณาเฉพาะตลาดค้าปลีกออนไลน์ในไทยเติบโตขึ้นกว่าเดิมในปี
2562 จาก 163,300 ล้านบาท เพิ่มเป็น 220,000 ล้านบาทในปลายปี 2563
รวมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 35% ถือว่าเป็นธุรกิจที่สดใสไม่น้อย
อ้างอิง : (https://creativetalklive.com/thailand-e-commerce-statistics-2020/)
มาดูฝั่งเพื่อนบ้านอาเซียนหลายประเทศก็มีตัวเลขการเติบโตที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น “เวียดนาม” ถือได้ว่าเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน
โดยจำนวนประชากรเวียดนามที่มีจำนวนมากกว่า 53% จากประชากรทั้งหมด 97 ล้านคน ในปี
2563 มีการใช้บริการช้อปปิ้งออนไลน์
นาย Dang Hoang Hai อธิบดีกรมเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า มองว่าแม้ว่าจะมีปัจจัยโควิดเข้ามา แต่รายได้จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซเวียดนามกับมีมูลค่าถึง
11,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18% หรือคิดเป็นสัดส่วน 5.5%
ของยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการทั่วประเทศ
ด้วยเหตุนี้ ‘กรุงฮานอย’ ในฐานะเมืองชั้นนำด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงมีแผนจะเพิ่มยอดค้าปลีกออนไลน์
20% ภายในปี 2568 และคาดว่าจะมีประชากร 55% เข้าถึงการซื้อสินค้าออนไลน์
และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 50% ที่จะเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ซึ่งในส่วนของภาครัฐทางกรมเศรษฐกิจดิจิทัลฯ มีการดำเนินนโยบายส่งเสริมภายใต้โครงการ
GoOnline ในปี
2564 โดยจะผลักดันการพัฒนาระบบคมนาคม เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซ เช่น
ส่งเสริมการใช้บล็อกเชนในการตรวจสอบสินค้า พัฒนาระบบโลจิสติกส์ และระบบ e-Government ส่งเสริมทั้งผู้ผลิต
ผู้ค้า และบุคคลทั่วไปใช้อีคอมเมิร์ซ
ขณะที่ฟากฝั่ง “สิงคโปร์” ประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซในระดับภูมิภาคอาเซียน ก็มีอัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในตัวเลขที่น่าสนใจเช่นกัน
นายชาน ชุนซิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ ระบุว่า
แม้ว่าปีก่อนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด แต่ยอดขายอีคอมเมิร์ซของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทำให้มูลค่าอีคอมเมิร์ซซึ่งเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกมีสัดส่วนประมาณ 5.8%
ขยับขึ้นเป็น 14.8% ของมูลค่าค้าปลีกรวม หรือคิดเป็นมูลค่า 180,885 ล้านบาท จากปี
2562 ที่มีมูลค่า 147,315 ล้านบาท
ทั้งนี้รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายส่งเสริมให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางอี-คอมเมิร์ซระดับภูมิภาคและระดับโลก
โดยดำเนินการตามกลยุทธ์ 5 ด้าน คือ
1. การเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
เพื่อรองรับอีคอมเมิร์ซระดับสากล
2. การสนับสนุนระบบบริการจัดการห่วงโซ่อุปทานให้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น
3. การเพิ่มความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์
ปกป้องธุรกิจจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
โดยการทำความตกลงระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Agreement : DEAs) ร่วมกับหลายประเทศ
อาทิ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และชิลี
4. การเพิ่มขีดความสามารถของเอสเอ็มอีในประเทศ
ให้พร้อมเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
5. การบังคับใช้นโยบายของภาครัฐในสถานการณ์โควิดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อให้ธุรกิจการค้าไม่สะดุด
ขณะที่ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียนอย่าง
“อินโดนีเซีย” ก็เติบโตไม่ต่างกัน โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียระบุว่า โควิดเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย
โดยผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นจาก 75 ล้านคน
เป็น 85 ล้านคน โดยคาดว่ายอดรวมการค้าสินค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซในอีก
6ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าสูงถึง
82,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเท่าตัวจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 40,000
ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลอินโดนีเซียจึงให้ความสำคัญกับปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ และเพื่อให้เกิดการแข่งขัน
รวมถึงให้ความคุ้มครองผู้บริโภค จากปัจจุบันที่อินโดนีเซียมีเพียงกฎระเบียบ 2 ฉบับ
เพื่อเป็นกรอบการทำงานด้าน การออกใบอนุญาต การคุ้มครองผู้บริโภค
และการส่งข้อมูลให้ศูนย์ข้อมูลให้สำนักสถิติอินโดนีเซีย
แต่ในอนาคตรัฐบาลอินโดนีเซียมองว่ากฎระเบียบจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการปรับตัว ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงด้านความก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัล
ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีความหลากหลายและมีความแตกต่างกันในแต่ละแพลตฟอร์ม และที่สำคัญอินโดนีเซียอาจจะต้องมีการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะ
จากเดิมที่กระจายอยู่ในกฎหมายฉบับต่างๆ
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า ทิศทางการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ประเทศต่างๆ ในอาเซียนตื่นตัว ทั้งส่งเสริม รวมถึงวางกฎระเบียบในการกำกับดูแล เพื่อให้เกิดใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าจะเป็นการโอกาสและความท้าทายของภาคเอกชนไทย ที่ต้องการรุกตลาดด้วยอีคอมเมิร์ซด้วย