การเริ่มโครงการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในฟิลิปปินส์ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในอีกไม่ช้า ทั้งนี้จากข้อมูลสํานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา พบว่า ผลจากการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการกักกันชุมชน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมา กําลังจะทําให้มีเด็กเกิดใหม่ในฟิลิปปินส์เกือบ 2 ล้านคนในปี 2564 โดยถือเป็นอัตราการเกิดสูงสุดนับตั้งแต่ปี
2543 ที่มีอัตราการเกิดอยู่ที่ 1.79 ล้านคน
การเกิดใหม่ของทารกกว่า 2 ล้านคนในปีนี้ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ ที่มีการจํากัดการเคลื่อนไหวและการเดินทางของประชาชน ทําให้การเข้าถึงการคุมกําเนิดลดลง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากเดิมที่ฟิลิปปินส์ก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ตามข้อมูลองค์การสหประชาชาติระบุว่า ปัจจุบันประเทศฟิลิปปินส์มีประชากรทั้งหมด 109,518,078 คน มากเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากประเทศอินโดนีเซียและเป็นอันดับที่ 13 ของโลก หรือคิดเป็น 1.41% ของจํานวนประชากรโลก และการคาดการณ์แนวโน้มจำนวนประชากรนี้
จะเป็นตัวกําหนดพฤติกรรมชาวฟิลิปปินส์ที่สําคัญในอนาคตต่อไป
Ms.
Marie Anne Lezoraine ผู้จัดการทั่วไปแผนก Wordpannel ของบริษัท Kantar Philippines ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนํา
เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการจับจ่ายของชาวฟิลิปปินส์ในปี 2564 พบว่า ผลิตภัณฑ์สําหรับเด็กและผลิตภัณฑ์สารฟอกขาว (Baby products and
Bleach) มีแนวโน้มเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในปี 2564 จากการเติบโตของอัตราการเกิดของทารกในฟิลิปปินส์ ซึ่งจะสร้างโอกาสในการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ในหมวดหมู่สําหรับทารก รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป หรือสินค้า Fast Moving Consumer Goods (FMCG) สําหรับคุณแม่มือใหม่ชาวฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ยังคงผันผวนและไม่แน่นอน ครัวเรือนชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ได้ลดค่าใช้จ่ายสําหรับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
เพื่อบริหารจัดการงบประมาณและรายได้ที่ลดลงจากผลกระทบ COVID-19 ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์การใช้จ่ายสินค้ากลุ่มนี้ หรืออาจจะเรียกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งในฐานะผู้บริโภคและผู้ซื้อ
(Consumer and shopper)
ขณะเดียวกันก็พบว่า “การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ” หรือการช้อปปิ้งผ่านช่องทางออนไลน์
จะยังคงเกิดขึ้นและขยายตัวมากขึ้นในฟิลิปปินส์ และร้านค้าปลีกแบบ Brick
and mortar ยังหยุดชะงักจากการแพร่ระบาดฯ ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่ามีประชากรฟิลิปปินส์สัดส่วน 8% ของประชากรทั้งหมดที่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปหรือสินค้า FMCG ทางออนไลน์ แต่มีจำนวนที่เพิมขึ้นถึง 772,000 ราย ซึ่งการใช้จ่ายในช่องทางออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประชาชนในเขตเมือง เช่น เมโทรมะนิลา เป็นหลักและในปี 2564 ผู้บริโภคยังคงเลือกความสะดวกสบายผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ผลการศึกษาพบว่า
พฤติกรรมผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์กว่า 75% จะมองหาแบรนด์ที่นําเสนอสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และจะให้ความสําคัญกับบทบาทของผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนการทําธุรกิจด้วยความยั่งยืน ดังนั้นการพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืน จึงกลายเป็นสิ่งสําคัญสําหรับการดําเนินธุรกิจของแบรนด์สินค้าต่างๆ
สิ่งสําคัญที่ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ต่างๆ จะต้องปรับตัว และดําเนินธุรกิจภายใต้ช่วงวิกฤตนี้ คือต้องระบุเป้าหมายหลักที่ชัดเจน การจัดลําดับความสําคัญ การกําหนดราคา กลยุทธ์และช่องทางที่เหมาะสม เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา
เพื่อสร้างโอกาสให้กับสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแม่และเด็ก สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ