ยุทธศาสตร์หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (One Belt, One Road-OBOR หรือ Belt and Road Initiative - BRI) หรือโครงการสายไหมศตวรรษที่ 21 ที่ถือเป็นอภิมหาโครงการระดับโลกของจีนที่มีเป้าหมายจะเชื่อมโยงจีนไปทั่วโลก ตามนโยบายของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ประกาศริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมาตั้งแต่ประมาณเมื่อปี 2016 เพื่อขยายอิทธิพลจีนไปทั่วโลกช่วงชิงความเป็นมหาอำนาจกับฝั่งสหรัฐฯ
OBOR เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องใช้เงินลงทุนราว 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพราะต้องเชื่อมโยง 60 ประเทศ ในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกาตะวันออกและเหนือ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยโครงการนี้จะประกอบด้วย เฉลียงทางบก 6 เส้นทาง และเส้นทางทะเล 1 เส้นทาง เส้นทางเฉลียงทางบกประกอบด้วย
(1) เส้นทางยูเรเซีย (Eurasia) จากตะวันตกจีนถึงตะวันตกรัสเซีย
(2) เส้นทางจีน-มองโกเลีย-รัสเซียตะวันออก
(3) เส้นทางตะวันตกจีน-เอเชียกลาง-ตุรกี
(4) เส้นทางจีน-แหลมอินโดจีน-สิงคโปร์
(5) เส้นทาง จีน-ปากีสถาน
(6) เส้นทางจีน-พม่า-บังกลาเทศ-อินเดีย
(ข้อมูล : เว็บ TerraBKK.com)
ซึ่งหากสำเร็จจะส่งผลต่อประชากรสัดส่วน 65% ของประชากรโลก และมีพลังทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก และ 1 ใน 4 ของการค้าโลก
แต่ทว่า “จีน” ก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เสียก่อนเป็นประเทศแรก และโรคดังกล่าวยังขยายออกไปทั่วโลก นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อใกล้ทะลุ 100 ล้านคนเข้าไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะส่งผลต่อการลงทุนในเส้นทางสายเศรษฐกิจนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว ประเทศจีน ได้อัพเดตรายงานความคืบหน้าของการดำเนินยุทธศาสตร์ OBOR ว่า จีนและประเทศที่อยู่ในเครือข่ายเส้นเส้นทางนี้ต่างต้องเผชิญชะตากรรมร่วมกัน จึงได้ผนึกกำลังช่วยเหลือกันทำให้เส้นทางสายเศรษฐกิจนี้ได้กลายเป็น “เส้นทางสายไหมเพื่อสุขภาพ” (Silk Road of Health) เพื่อช่วยกันปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน ในการต่อสู้กับโรคระบาด
ด้วยผลพวงจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้หลายประเทศต้องปิดเส้นทางขนส่งทางเรือและทางอากาศ ซึ่งนั่นทำให้เส้นทางรถไฟตามโครงการนี้ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการขนส่งสินค้า วัสดุและอุปกรณ์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกประเทศ
ยกตัวอย่าง เช่น เส้นทางรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างจีน-สหภาพยุโรป ได้รับการสนับสนุนจากกรมศุลกากรจีนในการผ่อนปรนมาตรการต่อขบวนขนส่ง โดยอนุญาตให้บริษัทเลือกรูปแบบการผ่านพิธีการศุลกากรด้วยตนเอง เพื่อให้ดำเนินการสะดวกคล่องตัว และยังใช้ประโยชน์จากการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงกับธุรกิจอี-คอมเมิร์ชข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงโควิดอีกด้วย
สะท้อนให้เห็นว่า OBOR เป็นช่องทางและวิธีที่ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศในเส้นทางได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พบว่าในช่วงที่มีการระบาดของโควิด กลับมีการดำเนินการก่อสร้างเส้นทางต่างๆ ได้เช่นเดิม เช่น โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟระหว่างฮังการี-เซอร์เบีย, โครงการก่อสร้างสะพานในประเทศบังคลาเทศตอนใต้ และโครงการก่อสร้างอุโมงค์บนเส้นทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนพลังความร่วมมือที่แข็งแกร่งในกลุ่มประเทศตามแนวเส้นทาง
ที่สำคัญผลจาก OBOR กับประเทศไทยนั้นยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะหากจีนสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นได้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาคการส่งออกของไทย โดยปัจจุบันในปี 2563 จีนถือว่าเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย มีมูลค่าถึง 29,754 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2% ได้ท่ามกลางวิกฤตโควิด
ดังนั้น ไทยจึงควรต้องเร่งพัฒนาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจีน โดยเฉพาะพัฒนาเส้นทางการค้า เช่น ระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก-ตะวันออก ที่เชื่อมเมียนมา ไทย ลาว และเวียดนาม รวมถึงระเบียงเศรษฐกิจเหนือและใต้ ที่เชื่อมตั้งแต่จีนตอนใต้ เมียนมา ลาว เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น เพราะ “จีน” จะเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทยและกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งในแง่การค้า การลงทุน และการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป