โควิด 19 ถือเป็นตัวเร่งตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประชาชนต้องทำจากที่บ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อ ทำให้มีคนหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น
ซึ่งประเทศไทยก็จัดเป็นประเทศมีอัตราการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซติดอันดับโลกเช่นกัน
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด (UNCTAD) ออกรายงานเรื่องประมาณการมูลค่าตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ทั่วโลกปี 2562 และประเมินผลกระทบสถานการณ์โควิด 19 ต่อการค้าปลีกออนไลน์ในปี 2563 ระบุว่า
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปี 2562 มูลค่าอีคอมเมิร์ซโลกสูงถึง ถึง 26.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 30% ของจีดีพีโลก และมีอัตราการเติบโต 4% จากปี 2561 ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งอีคอมเมิร์ซระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) คิดเป็นสัดส่วน 82% และธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) คิดเป็นสัดส่วน 18%
ในจำนวนนี้อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน คือ Alibaba มาเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่ายอดขาย 1,145 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอย่าง Amazon อยู่อันดับสอง มีมูลค่ายอดขายสินค้าที่ 575 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับประเทศที่เป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซ อาทิ สหรัฐ มีมูลค่าการค้ารวม 9.58 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา ญี่ปุ่น 3.41 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จีน 2.60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
โควิดเร่งค้าออนไลน์โลกขยาย
อย่างไรก็ตาม ประเทศส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนการค้าแบบ B2B มากกว่า 45% ขณะที่จีนมีสัดส่วน B2B เพียง 18% ทำให้จีนเป็นผู้นำทางด้านตลาดอีคอมเมิร์ซแบบ B2C คือมีมูลค่า 1,539 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยสหรัฐ 1,261 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสหราชอาณาจักร 251 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อังค์ถัดประมาณการมูลค่าอีคอมเมิร์ซ B2C ระหว่างประเทศ พบว่า ทั่วโลกยังมีเพียง 440 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผู้บริโภคที่สั่งซื้ออนไลน์ข้ามประเทศผู้บริโภคยังมีสัดส่วนน้อยกว่า 10% เมื่อเทียบมูลค่าโดยรวม และประเทศที่มีมูลค่าการขายออนไลน์ข้ามประเทศมากสุด คือ จีนที่ประมาณ 105 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยสหรัฐอเมริกา 90 พันล้านเหรียญสหรัฐ สหราชอาณาจักร 38 พันล้านเหรียญสหรัฐ และฮ่องกง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อีกด้านหนึ่ง อังค์ถัดได้ประเมินผลกระทบสถานการณ์โควิด 19 ต่อการค้าปลีกออนไลน์ในปี 2563 รวบรวมจากทุกประเทศที่ได้รายงานการค้าปลีกออนไลน์ พบว่า มีประเทศที่มีการค้าปลีกออนไลน์สูงสุด 7 ประเทศ ได้แก่ จีน สหรัฐ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ แคนาดา ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ที่มีมูลค่ารวมกันที่ 2,495 พันล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับมูลค่าค้าปลีกทั้งหมดคือ 13,003 พันล้านเหรียญ คิดเป็น 19% เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2562 ที่อยู่ในระดับ 16% โดยทุกประเทศมีสัดส่วนการค้าอีคอมเมิร์ชเพิ่มขึ้นมาก เป็นผลมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
สำหรับประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า มีมูลค่ารวม 27 พันล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วนราว 5.3% ของจีดีพี โดยมีผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ประมาณ 5 ล้านคน ถือเป็นอันดับที่ 16 ของโลก แต่เป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนและอันดับ 6 ในเอเชีย
เป็นที่น่าสังเกตว่าจากตัวเลขมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซที่ปรากฎ สอดคล้องกับผลวิจัยด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ‘เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563
(e-Conomy SEA 2020)’ โดยทีมวิจัย Google, Temasek และ Bain & Company ที่เผยแพร่เมื่อมีนาคม
2564 ซึ่งผลประเมินมูลค่าเศรษฐกิจการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบุว่า อีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่
81% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี
2568 เทียบกับตัวเลขมูลค่าอีคอมเมิร์ซของอังค์ถัดปี 2562 มูลค่า 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเร็วกว่าตัวเลขที่งานวิจัยคาดการณ์ไว้ถึง
6 ปี
นั่นจึงสะท้อนว่าอนาคตไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาตลาดออนไลน์ แข่งขันตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยนไป เพื่อให้การค้าอีคอมเมิร์ซเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนพลิกฟื้นเศรษฐกิจต่อไป
Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333
