ตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดขนาดใหญ่ของผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว
หรือกลุ่ม Snack
จากจำนวนผู้บริโภคจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูง ทำให้ตลาดขนมขบเคี้ยวในสหรัฐฯ
ขยายตัว 6.9% ในปี 2562 มีมูลค่า
39,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าชนิดนี้มีทั้งที่ผลิตเองภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
รวมถึงการนำเข้าจากไทยด้วย
ในแต่ละปีสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าขนมขบเคี้ยวมากขึ้น โดยจะเห็นว่าตัวเลขการนำเข้าล่าสุดเมื่อปี 2563 มีมูลค่า 6,935 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีมูลค่านำเข้า 6,620 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการนำเข้าจากแหล่งนำเข้าหลักคือ แคนาดา เม็กซิโก้ อิตาลี ฝรั่งเศส และไทย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากข้อมูลล่าสุดจะบุว่า
ไทยติดอันดับ
1 ใน 5 แหล่งนำเข้าขนมขบเคี้ยวหลักของสหรัฐฯ โดยครองส่วนแบ่งการนำเข้าประมาณ
2-3% โดยมีมูลค่า 154.97 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น
1.90% จากปี 2562 ที่มีการนำเข้า
152.08 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากไทยที่ส่งออกไปตลาดสหรัฐ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มขนมขบเคี้ยวประเภททอดกรอบหรืออบกรอบ : ซึ่งจะมีสัดส่วนประมาณ 30% ของมูลค่าการนำเข้า เช่น ขนมอบกรอบแบบแท่งกูลิโก๊, ไรซ์แครคเกอร์, ชิพมัน, สาหร่ายทะเล, ทองม้วน และข้าวเกรียบกุ้ง
2.
กลุ่มถั่วและถั่วเคลือบ : อาทิ ถั่วเคลือบวาซาบิ ถั่วเคลือบกาแฟ ถั่วเคลือบมะพร้าว
ถั่วเคลือบน้ำตาล มะม่วงหิมพานต์ มะพร้าวเกล็ด มะพร้าวชิพ เป็นต้น
3. กลุ่มผลไม้แห้งและอบแห้ง : เช่น มะม่วง สับปะรด กล้วยตาก ขิง มะละกออบแห้ง เป็นต้น
แต่ทว่าผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวมักถูกมองว่าเป็นอาหารที่ไม่ส่งเสริมในเรื่องสุขภาพ
นั่นจึงเป็นแรงผลักดันทำให้ผู้ผลิตสินค้าเริ่มหันมาปรับปรุงพัฒนาสินค้าขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพมากขึ้น
โดยการลดปริมาณส่วนผสมของเกลือ น้ำตาล ไขมัน และเพิ่มการปรุงแต่งรสธรรมชาติ และนำเสนอด้วยวัตถุดิบหลากหลาย
เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคซึ่งนิยมบริโภคขนมขบเคี้ยวแทนอาหารมื้อมากขึ้น และคาดหวังว่าจะได้รับสารอาหารจากขนมขบเคี้ยว
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาดขนมขบเคี้ยวไปสหรัฐฯ ได้นั้น นอกจากจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน สร้างความโดดเด่น และความเป็นเอกลักษณ์ของขนมแล้ว ยังต้องมุ่งพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพ ซึ่งจะเป็นตลาดสำคัญที่มีแนวโน้มเติบในอนาคต
นอกจากนี้ผู้ผลิตไทยต้องตรวจสอบขั้นตอนการส่งออก และอัตราภาษีนำเข้าให้ทราบแน่ชัดด้วย เพราะปัจจุบันขนมขบเคี้ยวหลายรายการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ทำให้ได้รับการยกเว้นอัตราภาษีเป็น 0% แต่บางรายการต้องแข่งขันกับสินค้าจากคู่แข่งที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า เช่น มะม่วงแห้ง มะละกอแห้ง ฝรั่งตากแห้งของไทยยังต้องเสียภาษีนำเข้า
อุปสรรคสำคัญทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง
สินค้าบางรายการมีการแข่งขันสูง เช่น สับปะรดอบแห้งต้องแข่งกันสินค้าจากลาตินอเมริกา
หรือขิงแห้งจากจีน รวมถึงการกระโดดเข้าตลาดของผู้ผลิตหน้าใหม่อย่างเวียดนามและมาเลเซีย
ดังนั้นสิ่งสำคัญ
SME ไทยที่ต้องการการตลาดเพื่อส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ต้องวางกลยุทธ์ ชูจุดแข็งสินค้า
โดยการดึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาใช้เช่น สินค้าทองม้วน หรือ COCONUT Roll กล้วยตาก ข้าวพอง มะพร้าวชิพ ทุเรียนชิพ หรือข้าวเกรียบกุ้ง เพราะแทบจะไม่มีคู่แข่ง
โดยอาจจะประยุกต์ใช้วัตถุดิบจากพืชผักของไทย เช่น มันเทศ เผือก มันสำปะหลัง สาคู ฟักทอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบระดับพรีเมียมราคาสูงในตลาดสหรัฐฯ เมื่อนำไปทำชิพ หรือการปรับส่วนผสมเป็นออแกนิก ลดการใช้น้ำตาลและเกลือ เน้นสุขภาพก็จะทำให้ได้ราคาสูงไปด้วย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ เช่น แวคคัมดรายด์ ซันดรายด์ หรือฟรีซดรายด์ที่ช่วยคงคุณค่า