ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme

จากสถิตินี้จะเห็นว่าแม้จีนจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวนประชากรการซื้อออนไลน์ยังมีสัดส่วนเพียง 25.70% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดในจีน หรือคิดเป็นมูลค่าค้าปลีกออนไลน์ราว 10.6 ล้านล้านหยวน (สถิติในปี 2562 ของไทยมีค่าเฉลี่ยการซื้อออนไลน์ไม่ถึงร้อยละ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค้าค้าปลีกทั้งประเทศ)
โดยผลพวงจากโควิด 19 ทุกธุรกิจปรับตัวมากขึ้น และใช้ช่องทางการค้าออนไลน์เป็นช่องทางหลัก และตลาดจีนก็ยังคงเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการ SME ไทยต่างหมายมั่นบุกตลาดที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคนนี้ให้ได้ ซึ่งจากตัวเลขการเติบโตของการค้าออนไลน์ในจีน บวกกับสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของประชากรจีนในการใช้ช่องทางออนไลน์ มูลค่าตลาดนี้จึงมหาศาล
โดยในปี2019 จีนมีจำนวนผู้ช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์ม Cross-border e-Commerce หรือที่ภาษาจีนเรียกว่า ‘ไห่เถา (海淘)’ ประมาณ 154 ล้านคน และคาดว่าในปี2020 จะเพิ่มเป็น 232 ล้านคน ทั้งรูปแบบการค้ายังเป็นทั้งแบบ B2B, B2C และ C2C (Consumer to Consumer)
ขณะที่การขายสินค้าไปจีนในปัจจุบันผ่านช่องทาง Cross-border e-Commerce หรือ CBEC ผู้ประกอบการไม่ต้องจดบริษัทที่ประเทศจีน ก็สามารถนำเข้าสินค้าโดยตรงจาก ต่างประเทศผ่านช่องเขตนำร่องพิเศษ (special pilot channel) ได้ อาทิ
การนำเข้าเพื่อเก็บในคลังทัณฑ์บน โดยผู้ประกอบการต้องนำสินค้ามาเก็บที่คลังสินค้าทัณฑ์บน (bonded warehouse) เพื่อจัดเก็บสินค้าคงคลังก่อน/ลูกค้าสั่งซื้อภายหลัง การนำเข้ารูปแบบนี้ทำให้สามารถจัดส่งสินค้าถึงลูกค้าภายใน 3-7 วัน
และวิธีที่ 2 คือ Direct Mailing Model (B2C) ลูกค้าสั่งซื้อหลังจากนั้น แพลตฟอร์มจะส่งรายละเอียดคำสั่งซื้อ การขนส่ง และการชำระราคาไปยังศุลกากร และสินค้าจะถูกส่งโดยตรงจากต่างประเทศไปถึงลูกค้า แต่ก็มีข้อเสีย คือ ระยะเวลาจัดส่งสินค้าถึงลูกค้า ค่อนข้างนาน

สำหรับสินค้า หลายคนอาจจะสงสัยว่าช่องทางการค้าข้ามแดนนี้จะใช้กับสินค้าใดได้บ้าง ซึ่งจากข้อมูลในปี 2020 กระทรวงการคลังของจีนได้ปรับเพิ่มหมวดหมู่สินค้าในบัญชีอนุญาต (Positive list)ทำให้ปัจจุบันมีรายการสินค้าที่ได้รับอนุญาตนำเข้าผ่าน Cross-border e-Commerce รวมทั้งสิ้น 1,413 รายการ โดยกำหนดชัดเจนว่า เฉพาะสินค้าที่อยู่ในบัญชีอนุญาต (Positive list) เท่านั้นที่สามารถนำเข้าผ่านช่องทาง Crossborder e-Commerce
ทั้งนี้ได้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบรายการสินค้าที่ได้ที่ http://images.mofcom.gov.cn/cws/202001/20200110143527533.pdf (เป็นภาษาจีน)
อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการที่สนใจตลาดจีนต้องให้ความสำคัญ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา จีนออกกฎเกณฑ์ทางการค้าออนไลน์เยอะมาก เพื่อกำกับดูแลทั้งในด้านมาตรฐานและความปลอดภัย ตลอดจนการปกป้องธุรกิจในประเทศ รวมทั้งกฎหมายในด้านของทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ การปรับแก้กฎหมายว่าด้วย E-Commerce ของจีนซึ่งได้เพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับหน้าที่ในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของเเพลตฟอร์ม E-Commerce ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและมีการกำหนดบทลงโทษหรือค่าปรับไว้อย่างชัดเจน
และในขณะเดียวกันจีนมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาคลังสินค้าต่างประเทศ เช่น ส่งเสริมบริษัทการค้าระหว่างประเทศ บริษัท CBEC เเละบริษัทโลจิสติกส์เข้าร่วมการก่อสร้างคลังสินค้าในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมบริษัทคลังสินค้าในต่างประเทศให้เชื่อมโยงกับเเพลตฟอร์ม E-Commerce ทั้งในจีน เเละต่างประเทศ ตลอดจนผลักดันการสร้างเเพลตฟอร์มโลจิสติกส์อัจฉริยะในต่างประเทศ

ล่าสุด ช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ประเทศจีนเผยว่าปัจจุบันจีนมีคลังสินค้าธุรกิจ Cross Border E-Commerce (CBEC) จำนวนกว่า 1,900 เเห่งในต่างประเทศ โดยมีพื้นที่รวมกว่า 13.5 ล้านตารางเมตร ซึ่งคลังสินค้าในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เเละเอเชียคิดเป็น 90% ของคลังสินค้าจีนทั่วโลก
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภายใต้การเปิดกว้างของตลาดค้าออนไลน์ข้ามแดน จีนเองก็รุกตลาดไปทั่วโลกเช่นกันผ่านการจัดตั้งคลังสินค้าในต่างประเทศและพัฒนาการขนส่งและแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการไทยเองก็สามารถเกาะเกี่ยวโอกาสเหล่านี้ รวมทั้งการใช้กลยุทธ์ KOL (Key Opinion Leader) ซึ่งมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในจีนอย่างมาก จะเป็นการเปิดตลาดสินค้าไทยไปตลาดจีนผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ข้ามแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ