อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีบริษัท Startup มากที่สุดเป็นอันดับที่
5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อินเดีย สหราชอาณาจักร และแคนาดา จำนวนทั้งสิ้น 2,193 บริษัท ที่สำคัญมีสตาร์ทอัพระดับ Unicorn 4 บริษัท
คือ Gojek, Traveloka, Bukalapak และ OVO
แถมล่าสุด Tokopedia แพลตฟอร์มจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมทั่วโลก ยังก้าวไปอีกขั้นสู่ระดับที่เรียกว่า Decacorn หมายถึงธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกิน 10 billions หรือ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขั้นกว่าของ Unicorn แม้จะไม่ถึงขนาดมีมูลค่าเทียบชั้น Hectocorn อันหมายถึงธุรกิจที่มูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่าง Facebook และ Google แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไล่ไม่ทัน
คำถามคือ ทำไมสตาร์ทอัพอินโดนีเซียถึงทิ้งห่างเพื่อนๆ ในอาเซียน ไปเป็นประเทศที่มีสตาร์ทอัพหัวแถวของโลกไปแล้ว ก็อาจต้องย้อนไปดูที่โครงสร้างและปัจจัยภายในประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โครงสร้างพื้นฐานและประชากร
อินโดนีเซียมีจำนวนประชากร 264 ล้านคน มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก (รองจาก จีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา)
โดยมีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตร้อยละ 64.8 ของประชากรทั้งหมด
มีจำนวนผู้ใช้งานการค้าออนไลน์ถึงร้อยละ 44 ของจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศ
(ประมาณ 75 ล้านคน) มีผู้ใช้บริการสมาร์ทโฟน 95.87 ล้านคน
ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ
123.3 ล้านคน อัตราการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ
โดยเฉลี่ยวันละ 4 ชั่วโมง
โดยมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในอินโดนีเซียสูงสุดบนเกาะชวา และมีการใช้งานสื่อ
Social Media ในประเทศสูงที่สุดในโลก
นอกจากนี้โดยผู้ประกอบการอินโดนีเซียนิยมใช้สื่อ Social Media มาทำการตลาดอย่างชาญฉลาด ทั้งบน Facebook, Twitter, Instagram และ WhatsApp ทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียให้การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัล เพื่อการเข้าถึงและเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล และการพัฒนากฎระเบียบต่างๆ
เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน การส่งออก และรายได้ของประเทศ
สังคมไร้เงินสด - Fintech โตกระจาย
ขณะที่ “Fintech Report 2019” ระบุว่า
มีผู้บริโภคอินโดนีเซียใช้งานแพลตฟอร์มกระเป๋าเงินดิจิทัลร้อยละ 82.7 การลงทุนด้านดิจิทัลร้อยละ 62.4 การให้บริการชำระเงินภายหลัง
(pay-later services) ร้อยละ 56.7 และการให้บริการสินเชื่อ
P2P ร้อยละ 21.5
และ Catcha
Groups คาดการณ์ว่า ขนาดของตลาด Fintech ในอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปี
2561 มูลค่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 54,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ซึ่งมีบริการ Fintech
2 ประเภทที่ได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย ได้แก่ ระบบชำระเงินแบบดิจิทัล
หรือบริการเทคโนโลยีทางการเงิน และการให้กู้ยืมแบบ peer-to-peer
ทั้งนี้ข้อมูลจากธนาคารกลางอินโดนีเซีย
ณ เดือนมกราคม 2563 มูลค่าการทำธุรกรรมผ่านระบบ
e-money ในตลาดค้าปลีกของอินโดนีเซียสูงถึง 15.8 ล้านล้านรูเปียห์ ประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 173 เมื่อเปรียบเทียบ 25 กับปีก่อนที่มีมูลค่าการทำธุรกรรม 5.8 ล้านล้านรูเปียห์
การเติบโตของ e-money สำหรับการทำธุรกรรมค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา
โดยมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาทำธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินสดมากขึ้น
จากเดิมนิยมใช้บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเดบิตสำหรับการชำระเงิน
ได้แรงหนุนจากภาครัฐ ส่งเสริมอีคอมเมิร์ซ
รายงานของ JP Morgan เกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกอีคอมเมิร์ซอินโดนีเซียปี
2562 กล่าวว่า
อินโดนีเซียมีการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซมาจากประชากรวัยรุ่นที่มีอายุโดยเฉลี่ย 30.5
ปี ซึ่งครึ่งหนึ่งของชาวอินโดนีเซียมีอายุต่ำกว่า 30 ปี และกลุ่มชนชั้นกลางมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การชำระเงินแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลอินโดนีเซียได้สนับสนุนให้ประชาชนใช้ E-money สำหรับการชำระค่าทางด่วน ค่าโดยสารรถประจำทาง (Transjakarta) และอื่นๆ เพื่อลดการใช้ธุรกรรมเงินสด อินโดนีเซียจึงได้เข้าสู่สังคมไร้เงินสดเมื่อหลายปีก่อน
รวมทั้งการปรับใช้ระบบดิจิทัลในการให้บริการของภาครัฐต่อเอกชนและประชาชน อาทิ
1. ผู้ประกอบการกับภาครัฐ : รัฐบาลอินโดนีเซียใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิสก์ (e-Government Procurement) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการประมูล
สร้างความโปร่งใส และลดปัญหาการคอรับชั่นในระบบราชการ
หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐคือ National Public Procurement Agency
(Lembaga Kebijiakan Pengadaan Barang/Jasa Pemerintah: LKPP) จัดทำระบบ
E-Catalogue เพื่อสามารถจัดซื้อยาและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาลรัฐของอินโดนีเซีย
2. ภาครัฐกับประชาชน : รัฐบาลอินโดนีเซียให้บริการประชาชนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น
การคำนวณ การยื่นแบบ และชำระภาษีผ่านอินเตอร์เน็ต การให้บริการข้อมูลทะเบียนธุรกิจ
เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบอินโดนีเซียกับประเทศอื่นๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากภูมิศาสตร์และจำนวนประชากร
โดยปี 2562 เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียมีมูลค่า
40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยจะเป็นผู้นำในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ปี 2568 เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียคาดว่าจะมีมูลค่าถึง
133,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดในภูมิภาค
ธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียครอบคลุม
e-commerce, online travel, online media และ ride-hailing
รวมถึงการชำระเงินดิจิทัลและบริการบนแอพพลิเคชั่น โดยเมื่อปี 2558
ธุรกิจ online travel ประสบความสำเร็จมากที่สุด
แต่ในปี 2562 ธุรกิจ e-commerce เพิ่มขึ้นร้อยละ
88 จากปี 2558 โดยมีมูลค่าสินค้ารวม (Gross
Merchandise Value : GMV) 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยในกรุงจาการ์ตาและ 9 ปริมณฑล (Jabodetabek:
Jakarta, Bogor, Depok, Tangerang, Bekasi) มี GMV ต่อคนอยู่ที่ 555 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ online
travel มีมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ride-hailing
มูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ online
media มูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะเดียวกันธุรกิจ e-commerce และ ride-hailing ในอินโดนีเซียได้เปิดโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการ
SMEs และประชาชนมีงานทำมากขึ้น การให้บริการ ride-hailing
ได้รับความนิยมอย่างมากในอินโดนีเซีย
ส่งผลให้มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นห้าเท่า ทั้งนี้ในปี 2561 ยูนิคอร์นของอินโดนีเซียมีเงินทุนทั้งสิ้น 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียวาง Roadmap
ในการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ทั้งด้าน E-commerce, Fintech
และสนับสนุนการใช้อินเทอร์เน็ตในการทำธุรกรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรการด้านภาษี ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและออกกฎระเบียบต่างๆ
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการควบคุมการดำเนินงานและการคุ้มครองข้อมูลของผู้บริโภค
เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยส่วนใหญ่มาจากภาคอีคอมเมิร์ซและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันมาซื้อสินค้าและบริการออนไลน์เพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยวออนไลน์ การโฆษณาออนไลน์ รวมถึงการใช้บริการแอพพลิเคชั่นออนไลน์
ทั้งการให้บริการด้านรถจักรยานยนต์รับจ้างและจัดส่ง อาหาร ส่งผลให้มีการพัฒนาด้าน Fintech โดยเฉพาะการใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อชำระค่าสินค้าและ
บริการเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียให้การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานและการพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งกำลังดำเนินการแก้ไขประเภทธุรกิจที่เปิดให้ต่างประเทศสามารถลงทุนในอินโดนีเซีย เพื่อช่วยเปิดโอกาสให้แก่นักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถลงทุนในอินโดนีเซียในอนาคตได้ด้วย
เห็นได้ชัดว่าภายใต้ความพยายามของอินโดนีเซียในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
วันนี้ผลงานได้ปรากฏชัดขึ้นแล้ว ที่สำคัญยังสามารถลบข้อด้วยบางจุดในด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดด้านมาตรการทางภาษี
และก่อตั้งธุรกิจใหม่อันเป็นข้อจำกัดของธุรกิจสตาร์ทอัพภายในประเทศ ที่อาจจะสู้สิงคโปร์ไม่ได้ในแง่ระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจสตาร์ท
แต่อินโดนีเซียมีโครงสร้างพื้นฐานและประชากรที่โดดเด่น รัฐมีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน
และธุรกิจมีความพร้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมออนไลน์ในทุกประเภทที่เหนือกว่าสิงคโปร์อย่างไม่ต้องสงสัย
แหล่งอ้างอิง : รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซีย จัดทำโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา