ปัจจุบันฮ่องกงกำลังประสบปัญหาจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยชาวฮ่องกงมีอายุเฉลี่ย 84.7 ปี
ซึ่งสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้หน่วยงานสถิติและสำรวจสำมะโนประชากรของรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีน
ได้เปิดเผยรายงานการคาดประมาณประชากรพบว่า ประชากรจะเพิ่มจาก 7.51 ล้านคน ในปี 2019 เป็น 8.11 ล้านคน ในปี 2041 โดยภาวะประชากรผู้สูงอายุจะยังคงดำเนินต่อไป
จำนวนผู้สูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไป
จะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในอีก 20 ปีข้างหน้า อยู่ที่ราว 2.52 ล้านคน ในปี 2039
และอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2.58 ล้านคน ในปี 2069
ขณะที่รายงานของ The Organization for Economic Co-operation and Development ในปี 2563 พบว่าระบบเงินบำเหน็จสำหรับการเกษียณอายุของชาวฮ่องกงภายใต้โครงการ Mandatory Provident Fund (MPF) ให้ผลตอบแทนถึง 12.4% ซึ่งเป็นผลตอบแทนดีที่สุดในโลก โดยมีประเทศเม็กซิโกรองลงมาเป็นอันดับที่ 2 ให้ผลตอบแทน 9.3%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
รัฐบาลฮ่องกงได้ผลักดันให้เกิดระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับขึ้นในปี
2543
ซึ่งถูกออกแบบให้ครอบคลุมแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ
โดยที่กองทุนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณจากการชราภาพ และการจ่ายค่าชดเชยเนื่องจากการเลิกจ้าง
ภายในตัวเองกฎหมาย Mandatory Provident Fund (MPF) บังคับให้นายจ้างและลูกจ้างส่งเงินสะสมสมทบฝ่ายละ 5% ของเงินเดือนค่าจ้าง และมีการกำหนดเพดานเงินนำส่งรวมที่ 3,000 เหรียญฮ่องกงต่อเดือน โดยเมื่อลูกจ้างเกษียณอายุหรือเมื่อต้องการย้ายถิ่นฐานออกจากฮ่องกง
จะสามารถเบิกเงินสมทบดังกล่าวเป็นกองทุนดำรงชีพได้
ข้อมูลจากสำนักสำมะโนครัวและสถิติฮ่องกง (The
Census and Statistics Department) เผยว่าชาวฮ่องกงมีรายได้เฉลี่ยขึ้นต่ำที่
18,400 เหรียญฮ่องกง (ราว 73,600 บาท)
ต่อเดือน นอกจากนี้ปัจจุบันชาวฮ่องกงที่เกษียณในปี 2564 จะได้รับเงินออม
MPF เฉลี่ยรายละประมาณ 2 ล้านบาท และอาจมีเงินออมอื่นๆ
ด้วย
‘ฮ่องกง’ ตลาดสำหรับธุรกิจผู้สูงอายุไทย
สาเหตุที่ธุรกิจผู้สูงอายุไทยเหมาะกับคนฮ่องกง
เนื่องจากบ้านพักผู้สูงวัยในบ้านเราให้บริการมีมาตรฐานระดับโลก นอกจากนี้บ้านพักผู้สูงอายุในฮ่องกงมีราคาสูงกว่าและมีจำนวนจำกัด
ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ในขณะที่บ้านพักผู้สูงอายุไทยสามารถรองรับผู้สูงอายุจากทั่วโลกได้อีกจำนวนมาก
ซึ่งนอกจากการดำเนินธุรกิจดูแลผู้สูงอายุแล้ว
เมืองไทยยังสามารถขยายโอกาสไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการผู้สูงวัยได้อีกด้วย
เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
และการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณ หากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วก็มีโอกาสที่ธุรกิจในกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จก็มีความเป็นไปได้สูง
สร้างมาตรฐานธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ
เพื่อดึงดูดผู้สูงวัยต่างชาติ
การที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจดูแลผู้สูงอายุได้
จำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้และทักษะเฉพาะ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล
ผู้ช่วยการพยาบาล นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ และนักกิจกรรมบำบัด รวมทั้ง
ต้องมีสถานบริการและการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานสากล โดยต้องเน้นการส่งเสริมพัฒนาให้มีมาตรฐานคุณภาพการบริหารจัดการธุรกิจ
ได้แก่
1. การสร้างองค์ความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพด้านการบริหารจัดการ
2.
พัฒนาธุรกิจบริการสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพตามแนวทางของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand
Quality Award : TQA)
3.
สร้างโอกาสทางการตลาดและเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่มีศักยภาพกับตลาดผ่านแพลทฟอร์ม
หรือช่องทางการตลาดของกลุ่ม Startup ที่เกี่ยวข้อง
โลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ
ผู้ประกอบการไทยต้องมองวิกฤตนี้เป็นโอกาส
ด้วยการคิดค้นธุรกิจใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุ
รวมถึงพัฒนากิจการเดิมให้ได้คุณภาพมาตรฐานสากล
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ไทยกลายเป็นฮับธุรกิจผู้สูงวัย
สร้างรายได้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้
อ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าต่างประเทศ
ณ ฮ่องกง, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
https://www.indexmundi.com/https://www.indexmundi.com/https://www.indexmundi.com/