ในปัจจุบันภาคการขนส่งเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก
โดยก๊าซเรือนกระจกในทวีปยุโรปราว 1 ใน 4
มาจากภาคขนส่งซึ่งยังต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานหลัก ดังนั้น
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของอียูตามแผนนโยบาย Green Deal ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
อียูจึงเร่งผลักดันให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากภาคการขนส่ง
ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง ให้ได้ร้อยละ 90 ภายในปี 2593
เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ชื่อว่า “การพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะอย่างยั่งยืน” (EU Strategy on Sustainable and Smart Mobility) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ราคาไม่แพง และประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ซึ่งยุทธศาสตร์ฉบับนี้เป็นกรอบการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบขนส่งที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในระยะสั้น 10-15 ปี และระยะยาว 30 ปีข้างหน้า โดยการลดปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
และกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกิดลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืนในระยะยาว (sustainable investment) เช่น
การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการปรับแผนรับการเปลี่ยนแปลงของทั้งเศรษฐกิจจากโรคโควิด
19
การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
การปรับตัวให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่ เช่น พลังงานทดแทน, ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี),
เทคโนโลยีดิจิทัลหรือ 5G, นวัตกรรม,
ตลอดจนปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจภาคการขนส่ง
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้กับสังคม ดังนั้นการจัดทำแผนยุทธศาสตร์จะทำให้เห็นภาพว่า
การบริการด้านการขนส่งทางบก ทางราง ทางนํ้า
และทางอากาศในภูมิภาคยุโรปจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไร
โดยยุทธศาสตร์ข้างต้นจะแบ่งเป็น 3
ระยะ
ระยะ 10 ปี (ภายในปี 2573) : รถที่วิ่งบนท้องถนนในภูมิภาคยุโรปอย่างน้อย 30 ล้านคัน จะเป็นรถปลอดมลพิษ
(Zero-emission Vehicle) เพิ่มสัดส่วนเมืองปลอดควันพิษในภูมิภาคยุโรปเป็น
100 เมือง เพิ่มสัดส่วนรถไฟความเร็วสูงในภูมิภาคยุโรปเป็น 2 เท่าตัว การเดินทางสัญจรในระยะทางไม่เกิน
500 กิโลเมตร ต้องมาจากระบบขนส่งที่ปลอดมลพิษ ส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
(automated mobility) อย่างแพร่หลาย สนับสนุนให้มีการพัฒนาเรือที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษให้พร้อมวางจำหน่าย
ระยะ 15 ปี (ภายในปี 2578) : ส่งเสริมให้มีการพัฒนาเครื่องบินขนาดใหญ่ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษให้พร้อมวางจำหน่าย
ระยะ 30 ปี (ภายในปี 2593) : กำหนดให้รถยนต์ รถตู้ รถบัส
และรถบรรทุกหนักที่วิ่งบนท้องถนนในภูมิภาคยุโรปเกือบทุกคันเป็นยานยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ
เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรถไฟเป็น 2 เท่าตัว ส่งเสริมการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายการขนส่งความเร็วสูงต่อเนื่องหลายรูปแบบ
(Multimodal Trans-European Transport Network (TEN-T) ให้มีคุณภาพและยั่งยืน
และพร้อมเปิดให้บริการแก่ประชาชนในราคาไม่แพง
นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวยังระบุโครงการริเริ่มทั้งหมด
82 โครงการใน 10 ประเด็นสำคัญสำหรับการดำเนินการ
โดยแต่ละมาตรการมีความเป็นรูปธรรมในทางทางปฏิบัติ เช่น การเพิ่มการเดินทางโดยใช้จักรยานเพื่อลดการใช้รถยนต์
โดยการสร้างช่องทางจักรยานในเมืองหลวง และในชุมชนอย่างน้อย 5 พันกิโลเมตร
การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น
เช่น พลังงานแบตเตอรี่ (BEV) หรือรถพลังงานไฮโดรเจน
เพื่อลดมลพิษที่เกิดจากการขนส่งด้วยน้ำมันเบนซินหรือดีเซล
รวมถึงการสร้างจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วภูมิภาคยุโรปแม้ในพื้นที่ห่างไกล
ตลอดจนการกำหนดมาตรฐานการปล่อยสารมลพิษ post-Euro 6 ในปี
2564 และการปรับปรุงระบบตรวจวัด CO2
เพื่อผลักดันโซลูชั่นด้านระบบขนส่งที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น
การปฏิรูปการขนส่งสินค้าจากทางถนนเป็นระบบราง
เช่น การเก็บภาษีรถบรรทุกขนาดใหญ่ตามอัตราการปล่อย CO2 หรือการพัฒนารถไฟสินค้าเชื่อมต่อระหว่างเมือง
และการแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการจองตั๋ว รวมถึงการสร้าง mobile
application เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางต่อเนื่องกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ
เช่น รถแทรม (รางเบา), รถไฟใต้ดิน, รถแท็กซี่ และรสบัส
รวมถึงขยายบริการรถไฟตู้นอนข้ามคืนในประเทศยุโรป
การส่งเสริมการขนส่งทางอากาศที่ใช้พลังงานสะอาดและพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยที่สุด
(Green aviation) เช่น
จูงใจให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน
และการพัฒนา AI เพื่อนำมาใช้งานในภาคขนส่งและโลจิสติกส์
การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) เช่น การใช้ระบบซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme : ETS) สำหรับการขนส่งทางเรือและทางถนน การเปิดเผยข้อมูลการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ (carbon footprint) เพื่อแสดงให้ผู้โดยสารเห็นว่าการเดินทางเที่ยวนั้นๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ และเพิ่มมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลดมลพิษในภาคขนส่งทางน้ำ
จากภาพยุทธศาสตร์ด้าน Sustainable and Smart Mobility ของอียู ทำให้เห็นว่าพัฒนาการด้านเมืองและการจัดการด้านการขนส่งของเมือง ยังต้องมองภาพของการสร้างความยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย
ดังนั้นหากมองในแง่ของการวางโมเดลธุรกิจในอนาคต
ผู้ประกอบการก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านนี้เช่นกัน
เพราะโลกในอนาคตอันใกล้นี้พลังงานฟอสซิลจะถูกลดบทบาทลง
และการมุ่งสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น
ตลอดจนมาตรการด้านภาษีที่จะเข้ามาบังคับให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน
ทั้งหากมองภาพยุโรปแล้วย้อนกลับมามองมิติด้านการพัฒนาของประเทศไทย ซึ่งมุ่งยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและเมืองที่ยั่งยืนนี้เช่นกัน
รวมทั้งการผลักดันนโยบายด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
ดังนั้นธุรกิจจึงไม่สามารถละเลยการวางเป้าหมายด้านนี้ได้อีกต่อไป
แหล่งอ้างอิง : https://thaieurope.net/
