ด้วยความเปราะบางด้านสาธารณสุขของสหภาพยุโรป
(EU)
ต่อการรับมือกับวิกฤตโควิด 19 ทำให้ EU
จำเป็นต้องปรับตัวผ่านการจัดทำแผนเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขแก่หน่วยงานกลาง
เช่น องค์การด้านยาของ EU (European Medicines Agency - EMA) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่ง EU
(European Centre for Disease Prevention and Control - ECDC) การจัดตั้งคลังยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วม
รวมถึงการสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยงานด้านสาธารณสุขและกลไกของ EU
โดยให้คณะกรรมาธิการยุโรปมีบทบาทนำในการผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เช่น การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านยูโร และวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสแก่โครงการ COVAX Facility ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการวิจัยและผลิตวัคซีน ตลอดจนมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดชายแดนให้มีความสอดคล้องกันโดยมีมาตรการสำคัญ ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. ยุทธศาสตร์ด้านวัคซีนของ EU
(EU Vaccines Strategy)
1.1 เมื่อวันที่ 17
มิถุนายน 2563
คณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านวัคซีนของ EU เพื่อเร่งการผลิตและพัฒนาวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
โดยได้กำหนดเป้าหมายช่วงเวลาประมาณ 12-18
เดือนในการสนับสนุนและเร่งการพัฒนาวัคซีน
1.2 ยุทธศาสตร์ดังกล่าวกำหนดเสาหลักที่สำคัญ
2 ประการ คือ
(ก.)
การผลิตวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในปริมาณที่เพียงพอสำหรับ EU
โดยการจัดทำข้อตกลงสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้า (Advance Purchase
Agreement - APA) กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายต่างๆ
รวมทั้งการใช้กลไกสนับสนุนฉุกเฉินและการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม
(ข.) การปรับกฎระเบียบของ EU
ให้สอดคล้องกับความเร่งด่วน โดยเฉพาะปรับปรุงขั้นตอนการรับรองวัคซีน
โดยคำนึงถึงมาตรฐานของคุณภาพวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
1.3 นับถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2564 EU สามารถสำรองวัคซีนไว้ได้แล้วประมาณ 4.4 พันล้านโดส และมีแผนจะบริจาควัคซีนให้กับโครงการ COVAX Facility จำนวน 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 โดยมีวัคซีนที่ได้รับการรับรองจาก EMA สำหรับใช้ภายใน
EU/จัดสรรให้แก่ประเทศสมาชิกแล้วจำนวน 4 ชนิด ได้แก่ BioNTech-Pfizer, Moderna, AstraZeneca และ Johnson & Johnson/Janssen Pharmaceuticals และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ
Sinovac และ Sputnik
2. ยุทธศาสตร์การรักษาโควิด 19 (EU Strategy for Therapeutics Strategy)
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม
2564
คณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาโควิด 19 ของ EU เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและเตรียมความพร้อมในการใช้ยา
รวมถึงการรักษาโควิด 19 ในระยะยาว
โดยยุทธศาสตร์นี้จะครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมดของยาที่ใช้รักษาฯ ตั้งแต่การวิจัย
การพัฒนา การผลิต การจัดหา และการปรับใช้ ทั้งนี้
คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการรักษาฯ ที่เป็นไปได้ 10 รายการ นำเสนอภายในเดือนมิถุนายน 2564 และคาดว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวจะสามารถเริ่มใช้ได้ก่อนสิ้นปี
2564
3. การจัดหายารักษาโควิด
19
ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปได้ลงนามสั่งซื้อยาต้านไวรัส
Remdesivir
จาก Gilead Sciences ซึ่งเป็นยาที่มีศักยภาพสูงในการรักษาโควิด
19 และเป็นยาชนิดเดียวที่ EU รับรองสำหรับใช้รักษาโควิด
19 จำนวน 500,000
คอร์ส (Treatment Courses) โดยเป็นยารักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคปอดบวมและต้องเพิ่มระดับออกซิเจนจากการที่ปอดถูกทำลาย
พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณจำนวน 70 ล้านยูโร
สำหรับการกระจายยาต้านไวรัส Remdesivir ไปยังประเทศสมาชิก
4. การเสริมสร้างสมรรถนะของประเทศสมาชิกผ่านโครงการ EU4Health
Programme
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม
2564 สภายุโรปมีมติเห็นชอบโครงการ EU4Health
Programme สำหรับปี 2021-2027 วงเงิน 5,100 ล้านยูโร
เพื่อการดำเนินการด้านสาธารณสุขในระดับ EU ที่มีเป้าหมายสำคัญ
คือ
(1)
สร้างคลังเครื่องมือการแพทย์ฉุกเฉิน
(2)
จัดทำรายชื่อบุคลากรการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเรียกได้หากเกิดวิกฤต
(3)
ฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถส่งไปทำงานได้ทั่ว EU
(4) ปรับปรุงมาตรการเฝ้าระวังด้านสาธารณสุข
(5)
ปรับปรุงความสามารถของระบบสาธารณสุขในการรับมือกับวิกฤต
ตลอดจนเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุขและส่งเสริมนวัตกรรมในภาคสาธารณสุข
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูยุโรปภายหลังโควิด 19
5.
การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ Health
Emergency Response Authority (HERA Incubator)
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์
2564
คณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอแผนเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันทางชีวภาพของยุโรป เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด
19 สายพันธุ์ใหม่ หรือ ‘HERA Incubator’ ซึ่งมีหลักการที่สำคัญ ดังนี้
(1)
พัฒนาวิธีระบุและวิเคราะห์เชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์ใหม่ (Specialised test and
genome sequencing)
(2)
ปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติวัคซีนให้รวดเร็วขึ้น และการพัฒนายาและวัคซีนต้านโควิด
19
(3)
เพิ่มกำลังการผลิตวัคซีน
(4)
สร้างเครือข่ายนักวิชาการ บริษัทยา เจ้าหน้าที่รัฐ European Clinical
Trials Network โดย HERA Incubator จะเป็นพิมพ์เขียวของการเตรียมความพร้อมในระยะยาวของ
EU เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขต่อไป
6. ความร่วมมือด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิก
ศูนย์รับมือภาวะฉุกเฉิน Emergency
Response Coordination Centre มีหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานขอความช่วยเหลือประเทศสมาชิกหนึ่งไปยังอีกประเทศสมาชิกหนึ่งเมื่อได้รับการร้องขอ
โดยมีความร่วมมือ เช่น การส่งตัวผู้ป่วยไปรักษายังอีกประเทศ
การแลกเปลี่ยนบุคคลากรทางการแพทย์
และการรับผู้ป่วยจากประเทศที่มีมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงมายังอีกประเทศหนึ่ง
7. มาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนป้องกันโควิด
19 ที่ผลิตในเขต EU
สืบเนื่องจากตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ที่ EU ได้รับมอบวัคซีนล่าช้าและในปริมาณต่ำกว่าที่กำหนดในสัญญาสั่งซื้อล่วงหน้า
(APA) คณะกรรมาธิการยุโรปจึงได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกวัคซีนฯ
ที่ผลิตในเขต EU ไปยังประเทศนอกเขต EU โดยผู้ส่งออกต้องทำการขออนุญาตต่อหน่วยงานของประเทศที่ตั้งของโรงงานผลิต
และคณะกรรมาธิการยุโรปจะเป็นผู้ยินยอมในลำดับสุดท้าย
เพื่อคณะกรรมาธิการยุโรปจะได้สามารถควบคุมวงจรการผลิตได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์
และสนับสนุนกำลังการผลิตในส่วนที่ยังมีกำลังไม่เพียงพอในชั้นนี้
มาตรการดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยยกเว้นการใช้บังคับมาตรการดังกล่าวต่อกรณีที่ส่งออกไปยังประเทศสมาชิก EFTA
และกลุ่มประเทศรายได้น้อยภายใต้โครงการ COVAX Facility ของ WHO
แหล่งอ้างอิง :