เป็นที่ทราบกันดีว่า
ที่ผ่านมา “เงินยูโร” เป็นสกุลเงินที่มีความสำคัญเป็นอันดับ 2 ในตลาดโลก แต่เมื่อไม่นานมานี้
ผู้บริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกประกาศว่าจะมีการผลักดันการสร้าง “สกุลเงินยูโรดิจิทัล” ขึ้นในช่วงไม่เกิน 5 ปีจากนี้
นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวถึง เป้าหมายการออกสกุลเงินยูโรดิจิทัลว่า เป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศในยุโรป โดยสกุลเงินยูโรดิจิทัลจะเป็นสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยอีซีบี ประชาชนและบริษัทเอกชนสามารถเข้าถึงได้
อีซีบี ได้จัดทำประชาพิจารณ์เรื่องโครงการยูโรดิจิทัลเมื่อเดือนตุลาคม 2563 และได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ว่า ชาวยุโรปให้การตอบรับสกุลเงินยูโรดิจิทัลมากกว่า 8,000 คน โดยได้มีการล็อกอินและเข้ามาตอบคำถามทางออนไลน์
ล่าสุดมีรายงานว่า คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU) ได้ประกาศสนับสนุนการจัดตั้งเงินยูโรดิจิทัล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ภาคเศรษฐกิจและการเงินของยุโรปสามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นาย
Valdis Dombrovskis รองประธานคณะกรรมาธิการอียู
กล่าวว่า เงินยูโรดิจิทัลจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งในการนำมาใช้ชำระหนี้และออมทรัพย์ โดยทางคณะกรรมาธิการอียูทำงานอย่างหนัก เพื่อผลักดันให้เริ่มมีการใช้สกุลเงินนี้
ทั้งการระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาตั้งคณะทำงานเพื่อสร้างกฎเกณฑ์และเตรียมใช้งานภาคปฏิบัติจริง
และหวังว่า EU จะได้รับความร่วมมือจาก
ECB อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การทำงานลำดับต่อไปจะต้องหาคำตอบ เช่นว่า ผลกระทบและความหมายในสกุลเงินดิจิทัลเป็นอย่างไร และจะตรวจสอบผ่านระบบการเงินและระบบการธนาคารได้อย่างไร
ล่าสุดในกรุงบรัสเซลส์ มีการออกแนวคิดเรื่องนี้ว่า เงินสกุลยูโรดิจิทัลที่สร้างออกมาใหม่นี้จะไม่ถูกนำมาทดแทนเงินสด และระบบการชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่จะเป็น “ทางเลือก” เสริมให้ประชาชนและเอกชนในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy)
เท่ากับว่าในทางปฏิบัติแล้ว “เงินยูโรดิจิทัล” จะเป็นทางเลือกเทียบได้กับเงินดิจิทัลที่ภาคเอกชนสร้างขึ้น เช่น Bitcoin หรือเงิน Libra ที่เฟซบุ๊กต้องการสร้าง
แต่สิ่งที่เรียกว่ายูโรดิจิทัลเป็นสิ่งที่แตกต่างจากคริปโตเคอเรนซีอื่น เพราะจะมีทางธนาคารกลางยุโรปเข้ามากำกับดูแล ที่สำคัญเงินนี้จะมีส่วนช่วยให้เงินยูโรมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในตลาดโลก ในฐานะเงินทุนสำรอง ซึ่งการจะดำเนินการดังกล่าวส่วนหนึ่งจะมาจากการออก “พันธบัตร” เพื่อนำมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด ภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า Next Generation EU ซึ่งออกโดย EU มีมูลค่าถึง 750,000 ล้านยูโร และในจำนวนนี้กว่า 30% เป็นการจำหน่ายพันธบัตรสีเขียว ซึ่งจะช่วยให้สถานภาพของเงินยูโรในตลาดโลกดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่าขณะนี้อียูไม่ใช่เพียงประเทศเดียวที่มุ่งพัฒนาเงินยูโรดิจิทัล แต่รัฐบาลจีนก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาเงินดิจิทัล หรือที่เรียกว่าการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์สกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency Electronic Payment--DCEP) โดยคาดว่าจะมีการใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือแม้แต่ประเทศไทยทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีโครงการศึกษา เพื่อเตรียมออกสกุลเงินดิจิทัลด้วยเช่นกันที่ชื่อว่า ‘อินทนนท์’
สำหรับผู้บริโภคอาจจะยังไม่ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงในวงการการเงินดิจิทัลมากนัก
เพราะ ECB ยืนยันชัดเจนว่าการใช้ธนบัตรแบบเดิมก็ยังมีอยู่ต่อไป
และความเสี่ยงอาจจะน้อยกว่าเงินที่เอกชนออก
นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลของ EU ระบุว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 68% มีการซื้อขายก๊าซธรรมชาติผ่านสกุลเงินยูโรเพิ่มขึ้น จากก่อนหน้าที่มีการใช้เพียง 38% ซึ่งนับจากนี้ต้องจับตาดูว่าการซื้อขายสินค้ากลุ่มพลังงานจะช่วยช่วยให้เงินยูโรมีบทบาทมากขึ้น และจะเชื่อมโยงไปถึงเงินยูโรดิจิทัลด้วยหรือไม่อย่างไร