หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนบานปลายไร้ข้อยุติและส่อเค้ายืดเยื้อ
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่านักลงทุนจากจีน และสหรัฐ จะหันหัวเรือการลงทุนมายังประเทศไทย
เพื่อเป็นฐานการผลิตใหม่สำหรับส่งออกสินค้าเข้าไปทดแทนสินค้าที่ถูกขึ้นภาษี
ด้วยไทยเป็นประเทศศูนย์กลางอาเซียนที่มีความพร้อมในทุกๆด้าน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังไม่สามารถประมาทได้ว่าการลงทุนจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวหรือไม่ เพราะ “เวียดนาม” ประเทศคู่แข่งสำคัญของไทยในอาเซียน ก็ถือว่าเป็นประเทศที่เนื้อหอมไม่แพ้กัน ด้วยความพร้อมทั้งด้านจำนวนและคุณภาพของแรงงาน กฎหมายส่งเสริมการลงทุน และที่สำคัญล่าสุดเวียดนามได้เจรจาเปิดการค้าเสรีหลายๆฉบับ กับคู่ค้าขนาดใหญ่ไม่ว่าจะความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และล่าสุดมากระทั่งถึงความตกลงเขตการค้าเสรี “EU-Vietnam Free Trade Agreement : EVFAT”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
เวียดนามและสหภาพยุโรปได้ประกาศเริ่มเจรจาความตกลง
EVFAT ระหว่างกันมาตั้งแต่ปี 2007 กระทั่งได้ข้อสรุปในปี 2015 และลงนามความตกลงไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2018 คาดว่าความตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในไตรมาส 3 ปีนี้
สาระสำคัญในความตกลงทั้งสองฝ่ายตกลงจะทยอยลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันให้ได้
99%
ของสินค้าที่ค้าระหว่างกัน โดยสหภาพยุโรจะลดภาษีสินค้าเป็น 0% ในสินค้า 71% ของจำนวนสินค้าที่ค้าระหว่างกัน และสินค้าอีก 29% ของจำนวนสินค้าที่ค้าระหว่างกัน จะทยอยลดภาษีให้กลายเป็นภาษี 0% ใน 10 ปี
ขณะที่เวียดนามจะลดภาษีสินค้าเป็น 0% ในสินค้า 65% ของจำนวนสินค้าที่ค้าระหว่างกัน และสินค้าอีก 35% ของจำนวนสินค้าที่ค้าระหว่างกัน จะทยอยลดภาษีให้กลายเป็นภาษี 0% ใน 10 ปี
นอกจากเรื่องการเปิดตลาดลดภาษีสินค้าแล้ว
ทั้งสองฝ่ายยังตกลงเรื่องต่างๆ อีก นับ 10 ประเด็น เช่น การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี
การปกป้องสินค้าที่ได้รับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
การเปิดโอกาสให้บริษัทจากสหภาพยุโรปเข้าประมูลงานภาครัฐ
การสร้างความเทียมกันในการแข่งขันทางการค้า การเปิดตลาดสินค้าบริการ
โดยให้ผู้ค้าบริการจากสหภาพยุโรปเข้าไปประกอบธุรกิจในเวียดนามได้ในสาขาต่างๆ เช่น
ไปรษณีย์ ธนาคาร ประกันภัย และขนส่งทางทะเล
การส่งเสริมและการปกป้องการลงทุน
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ปุ๋ย ยางรถ ถุงมือ เซรามิก
และเครื่องจักรกล เป็นต้น การจัดตั้งกลไกการแก้ไขข้อพิพาท การเสริมสร้างมาตรฐานการป้องกันสังคม
และสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมด้านมนุษยธรรม และประชาธิปไตย
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเชื่อมโยงกับไทยว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2552-2561) เวียดนามส่งออกไปสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 3.7 เท่า หรือ 346.9% ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า หรือ 148.6% และดุลการค้าเพิ่มขึ้น 4.5 เท่า
และหลังจาก EVFTA
มีผลบังคับใช้จะทำให้การส่งออกเวียดนามไปยังสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี
2562-2564 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย
ปีละ 13.3%
ขณะที่การส่งออกของไทยคงเพิ่มในอัตราที่ลดลง เฉลี่ยที่ปีละ 0.8% ทั้งนี้ สินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
คือ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
และอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ สัตว์น้ำ และผลไม้
ซึ่งเป็นสินค้าที่เวียดนามมีศักยภาพในการผลิต