กระตุ้นเศรษฐกิจ! เร่งส่งเสริมท่องเที่ยวไทย-อินเดียปี 2564
ในช่วงปลายปี 2562
มีการประเมินว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
กลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวไทย
รองจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน โดยในปี 2561
มีท่องเที่ยวจากอินเดียมาเยือนประเทศไทยถึง 1.6 ล้านคน มากเป็นอันดับ 6
รองจากนักท่องเที่ยวชาวจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ สปป.ลาว และญี่ปุ่น ขณะที่ปี 2562
มีจำนวน 1.8 ล้านคน ทำให้ยิ่งน่าจับตาแม้ในขณะนี้นักท่องเที่ยวอินเดียอาจยังเทียบกับนักท่องเที่ยวจีนไม่ติด
แต่ในอนาคตนี่จะเป็นกลุ่มหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย
ซึ่งประมาณการณ์ว่าจะมีถึง 14 ล้านคนในปี 2573
อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบแล้วว่าภายใต้สถานการณ์ระบาดของโควิด 19 ทำให้การท่องเที่ยวในปีนี้ทุกประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แม้ตอนนี้จะมีข่าวดีเรื่องความสำเร็จในการผลิตวัคซีนและเริ่มฉีดให้กับประชาชนบางประเทศได้บ้างแล้ว แต่การท่องเที่ยวอาจต้องใช้เวลาในการเยียวยาอีกระยะหนึ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้มีข้อมูล
รายงานการประชุมด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในอินเดีย
ที่ถกประเด็นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ตลอดปี 2563
และหารือเกี่ยวกับนโยบาย แผนงาน รวมทั้งข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในปี
2564 เพื่อให้การดำเนินงานมีการบูรณาการและสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยประเด็นปัญหาและอุปสรรคของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานกรุงนิวเดลีในปี 2563 มีดังนี้
1. การปิดสนามบินระหว่างประเทศทั้งของไทยและอินเดีย
แม้ว่าอินเดียจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการให้มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ ภายใต้ความตกลงทวิภาคีแบบ
Air Transport Bubble กับ 21
ประเทศ และไทยอนุญาตให้ชาวอินเดียสามารถขอวีซ่าบางประเภท เพื่อเดินทางเข้าไทยมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ในปัจจุบันยังไม่มี Air Transport Bubble ระหว่างไทยกับอินเดีย
จึงยังไม่มีเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างกัน
2. การกำหนดให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย
ต้องกักตัวในสถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ) เป็นเวลา 14 วัน กระทบต่อการท่องเที่ยวแบบกลุ่ม leisure
ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลาท่องเที่ยวประมาณ 5-6 วัน
อย่างไรก็ตามเสียงสะท้อนจากเอเย่นต์ท่องเที่ยวแสดงว่า ชาวอินเดียยังคงชื่นชอบและอยากไปประเทศไทย
แต่ติดปัญหาอุปสรรคดังกล่าวข้างต้น
ขณะที่นโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำหรับอินเดียในปี
2564
คือรักษาตลาดและส่งเสริมความนิยมการท่องเที่ยวไทยให้อยู่ในกระแส โดยจะเน้นการประชาสัมพันธ์หรือการจัดกิจกรรมออนไลน์
โดยมีกิจกรรมหลักในรูปแบบเดิมลดลง อาทิ การจัดงานลอยกระทงเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ที่กรุงนิวเดลี โดยมีผู้เข้าร่วมงาน 100 คน ได้แก่ เอเยนต์ท่องเที่ยว สื่อมวลชน สายการบิน และอื่น ๆ
งานได้รับการตอบรับที่ดีมาก และไทยยังอยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวอินเดีย
และในปี 2564 มีแผนจะจัด road show เพื่อพบเอเย่นต์ท่องเที่ยว
ณ เมืองกัลกัตตา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และร่วมจัดซุ้มไทยกับสถานกงสุลใหญ่ในงาน
Travel and Tourism Fair เดือนสิงหาคม 2564 ณ เมืองกัลกัตตา เช่นเดียวกัน
เพื่อสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประเทศไทยคงอยู่ในกระแสความนิยมต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทางสถานกงสุลใหญ่ ณ
เมืองกัลกัตตา แจ้งว่า
นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งชาวอินเดียสามารถขอวีซ่าท่องเที่ยว (TR) ได้แล้วตั้งแต่ 2 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นมา โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องประเทศกลุ่มเสี่ยง
ซึ่งปัจจุบันอินเดียอยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงกลาง
นอกจากวีซ่าแล้ว จะต้องมี Certificate of Entry (COE) และผ่านเงื่อนไขอื่นๆ อาทิ
มีเงินฝากสกุลท้องถิ่นเทียบเท่าไม่น้อยกว่า 500,000 บาท
หรือประมาณ 1.2 ล้านรูปี ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เอกสารการจองที่พัก ASQ และประกันสุขภาพรวมการรักษาโควิด 19 มูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
และปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย โดยจะพำนักในไทยไม่เกิน 60
วัน
นอกจากนี้ทางการไทยยังอนุญาตให้นักธุรกิจต่างชาติไปประเทศไทยเพื่อติดต่อธุรกิจ
ทั้งกรณีวีซ่ายังไม่หมดอายุ (ทั้ง single entry หรือ multiple entries) และกรณีขอใหม่
โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ทางการไทยกำหนดด้วย
นอกจากนี้สถานกงสุลใหญ่ได้เริ่มใช้ระบบ COE Online ของกระทรวงฯ
เพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติสามารถยื่นคำร้องออนไลน์ได้โดยตรง
แหล่งอ้างอิง : สถานกุงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา