แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การเจรจาเรื่องโลกร้อนของคณะทํางานเป็นไปด้วยความยากลําบาก
และส่งผลให้การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่
26 หรือ COP26 ระหว่างผู้นําโลกที่เมืองกลาสโกว์
ประเทศสก็อตแลนด์ ต้องเลื่อนออกไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2564 แต่ก็มีการประเมินว่าหัวข้อสําคัญของการประชุมครั้งนี้
จะมีทั้งวาระการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดที่มีเรื่องโลกร้อนเป็นหัวใจสําคัญ
และกรอบเวลาที่ประเทศต่างๆ
ต้องเร่งดําเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังตามเงื่อนไขของความตกลงปารีส
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตโลกร้อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นการสร้าง
‘กติการการค้าใหม่’
ซึ่งเน้นย้ำเรื่องความยั่งยืนที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
ในขณะเดียวกันนานาชาติต่างก็คาดหวังว่ารัฐบาลชุดถัดไปของสหรัฐฯ
จะกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสและลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังอีกครั้ง ภายหลังที่นายโดนัลด์
ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสไปเมื่อปี 2019
ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการวิพากย์วิจารณ์ถึงการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง จากทั้งในสหรัฐฯ
และทั่วโลก
ซึ่งทรัมป์เห็นว่าข้อตกลงปารีสจะส่งผลเสียต่อผู้ผลิตชาวอเมริกัน เพราะถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบที่มากเกินไป แต่กลับผ่อนปรนให้ผู้ผลิตต่างชาติก่อมลพิษได้โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งยังบอกอีกว่า “เราจะไม่ลงโทษคนอเมริกัน ในขณะที่ส่งเสริมผู้ก่อมลพิษที่เป็นชาวต่างชาติ ผมภูมิใจที่จะพูดว่า ‘อเมริกาต้องมาก่อน’” และเขาเน้นย้ำกับทุกคนว่า ‘โลกร้อนเป็นเรื่องแหกตาและเหลวไหล’
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ไบเดน กับบทบาทนักอนุรักษ์ตัวพ่อ
และเป็นที่ทราบดีว่า
ภายหลังการสาบานตเข้ารับตำแห่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ของนาย โจ ไบเดน ประชาคมโลกต่างจับตามองว่า
ไบเดนจะมีท่าทีต่อเรื่องโลกร้อนและข้อตกลงปารีสอย่างไร โดยเขาเองก็ถูกมองว่าเป็นนักอนุรักษ์
ดังนั้นท่าทีของไบเดนจึงชัดเจน คือการกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน
และแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจให้ธุรกิจใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนรูปแบบมาสู่เศรษฐกิจสีเขียว
หรือ Green Economy ตามกระแสหลักของโลก
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวในความหมายของทีมเศรษฐกิจของไบเดน หมายถึงการสร้างสังคมเศรษฐกิจใหม่
(New Eco-System) ผ่านการให้แหล่งเงินทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างเต็มที่ต่อผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวรายใหม่ๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งนับได้ว่า ณ
ช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก น่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายปี
ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถก่อหนี้ได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับจีดีพี
โดยไม่กระเทือนต่อเสถียรภาพทางการคลังมากนัก
โดยที่ธุรกิจดังกล่าว จะหันมาใช้แหล่งพลังงานทางเลือกในการผลิต
ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันระหว่างแหล่งพลังงานทางเลือกต่างๆ
แทนการใช้น้ำมันหรือถ่านหินดังเช่นในอดีต
โดยที่สินค้าและบริการแบบเศรษฐกิจสีเขียวนั้น มาจากความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ
โดยแท้จริง แทนที่จะมาจากโรงงานที่ผลิตสินค้ามาจำหน่ายของเถ้าแก่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้คาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคไปเสียเองดังเช่นในอดีต
อียูกับข้อเรียกร้องถึงปัญหาโลกร้อน
ทางด้านสหภาพยุโรป ซึ่งล่าสุดมีการแนวทางในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนของอียูแบ่งออกเป็น
3 ด้าน ดังนี้
1. ในระดับประเทศ ประเทศสมาชิกอียูตั้งเป้าว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก
จากเดิมร้อยละ 40 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 55 ภายในปี
2573 ซึ่งอียูจะผลักดันให้มีการระบุเป้าหมายดังกล่าว ในกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศ (Climate law) เพื่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างชาติสมาชิกด้วยกัน
รวมทั้งมีการเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีคาร์บอน การปรับปรุงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนระบบซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
และการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอน ภายในปี 2564
2. ในระดับทวิภาคี อียูต้องการเรียกร้องให้สหรัฐฯ กลับเข้ามาเพิ่มบทบาทในเวทีการเจรจา
และยกระดับการดําเนินงานด้านการลดก๊าซของประเทศให้มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยมองว่าประเทศกําลังพัฒนาบางประเทศควรมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านกองทุน
Adaptation
Fund แก่ประเทศยากจนในการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภายหลังปี 2568
3. ในระดับสากล
อียูต้องการผลักดันการกําหนดบรรทัดฐานสากลในบริบท Article 6 ของความตกลงปารีส
ร่วมกับประเทศภาคีต่างๆ ภายใต้กรอบความโปร่งใส อาทิ
การเปิดเผยข้อมูลเพื่อการติดตามความก้าวหน้าในการดําเนินงานตามแผนปฏิบัติการของแต่ละประเทศ
(NDCs) ตลอดจนการจัดทําบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
ไทยกับการค้ามิติใหม่ยุคไบเดน
หากมองในมุมของประเทศไทย ซึ่งก็มีนโยบาย อาทิ ‘BCG Economy’ ที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นอีกหนึ่งโมเดลในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของไทย
หมายถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากการเกษตร พร้อมย้ำว่าโมเดลนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากได้อย่างแท้จริง
ซึ่งเป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ไปช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ,
อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ประเมินว่า การค้าไทยกับสหรัฐฯ ยุคโจ ไบเดน อาจมีความจำเป็นต้องมีการปรับมาตรฐานสินค้า
รวมทั้งมาตรฐานแรงงาน และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย ซึ่งทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแรงงาน
ซึ่งประเทศคู่ค้าต่างมีมาตรการที่ชัดเจนมากขึ้น ในการที่จะใช้กลไกต่างๆ
เพื่อให้คู่ค้ามีการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพสินค้า
ขณะเดียวกันผู้บริโภคยุคใหม่ในปัจจุบันก็ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานแรงงาน และการดูแลกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญหลังจากนี้ ทั้งอาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการสร้างแต้มต่อในการแข่งขัน และเป็นตัวเลือกในตลาดของผู้บริโภค เมื่อเทียบกับสินค้าคู่แข่ง อาทิในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งไทยก็เจอคู่แข่งในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนและเวียดนาม ซึ่งการค้ายุคใหม่ไม่ได้แข่งขันกันที่สินค้าต้นทุนต่ำ แต่เป็นยุคที่การแข่งขันกันที่การสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า และถ้าเราสามารถสร้างจุดแข็งในเรื่องนี้
ด้วยเหตุนี้ จากการที่เราหยิบยกประเด็นการประชุม COP26 ช่วงปลายปีนี้ ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี พ.ศ.2537 และได้มีการจัดทำแผนที่นําทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564–2573 สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของแผนที่นำทางแก่ทุกภาคส่วน และมีเป้าหมายที่จะลดก๊าซเรือนกระจกโดยเป้าหมายขั้นต่ำที่ร้อยละ 20 และเป้าหมายขั้นสูงที่ร้อยละ 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 ตามมติเห็นชอบของประเทศไทยต่อ Intended Nationally Determined Contribution (INDC)
ดังนั้นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ควรศึกษาตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อน
รวมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่มาก
และดําเนินการแบบองค์รวมเพื่อนําไปสู่การดําเนินงานในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ ในระดับท้องถิ่นและในระดับโลก
และอย่างที่บอกว่า ตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป สหราชอาณาจักร
ต่างให้ความสำคัญต่อการค้าที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น และอาจมีมาตรการในการคุมเข้มการค้าที่ไม่ทำลายโลก
ด้วยมาตรการภาษีและ มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเข้ามาเป็นเกมการค้าใหม่ที่ธุรกิจส่งออกอาจต้องรีบปรับให้ทันเกม
เพราะนี่อาจไม่เฉพาะแค่เทรนด์ของโลกค้าการยุคใหม่
แต่อาจเป็นการสร้างกติกาใหม่ขึ้นมาอีกมากเพื่อการค้าที่มีความยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง :
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์/ คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป