วิกฤติสูญพันธุ์! ลำบาก–รายได้ต่ำ ชาวนาฟิลิปปินส์ไม่อยากให้ลูกรับไม้ต่อ
มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ (University of the Philippines) ได้ทำการศึกษาวิจัยในหัวข้อเรื่อง
“เกษตรกรชาวนาผู้สูงอายุชาวฟิลิปปินส์และแรงบันดาลใจต่อลูกๆ (Aging
Filipino Rice Farmers and Their Aspiration for Their Children)” โดยได้สุ่มสำรวจครัวเรือนเกษตรกรชาวนาจำนวน 923 ราย
จาก 13 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 3 จังหวัดของเกาะใหญ่
3 แห่งของฟิลิปปินส์ โดยได้ทำการสำรวจด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก
และการสนทนากลุ่ม เพื่อให้เข้าใจชีวิตและสถานการณ์ของเกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ต้องเผชิญโดยแท้จริง
ซึ่งพบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
เกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ที่ได้ทำการสำรวจส่วนใหญ่เป็นเพศชายคิดเป็นร้อยละ 70 และร้อยละ 30 เป็นเพศหญิง ส่วนใหญ่มีสถานะแต่งงานแล้วและมีสมาชิกเฉลี่ยครัวเรือนละ 5 คน รวมทั้งโดยเฉลี่ยแต่ละครัวเรือน จะมีลูกประมาณ 4 คน นอกจากนี้ ประมาณร้อยละ 77 ของผู้ตอบแบบสำรวจประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก และร้อยละ 33 เป็นอาชีพรอง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
- อายุเฉลี่ยของเกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ที่ทำการสำรวจอยู่ที่
53 ปี โดยประมาณร้อยละ 50 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีอายุระหว่าง
41–60 ปี ในขณะที่ร้อยละ 28 มีอายุมากกว่า
60 ปี และมีเพียงร้อยละ 18 ที่มีอายุต่ำกว่า
40 ปี
โดยส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษาและโดยเฉลี่ยแล้วใช้เวลาเพียง 8 ปีในโรงเรียน หรือเทียบเท่ากับระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนที่จะเลิกเรียน
- เกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ร้อยละ 65 ไม่ต้องการให้ลูกทำนา ในขณะที่ร้อยละ 35 หรือ 1 ใน 3 ของทั้งหมด
ต้องการให้ลูกสืบทอดอาชีพชาวนา โดยเกษตรกรชาวนาจากทั้ง 3 พื้นที่
ส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ลูกประกอบอาชีพชาวนา (จังหวัด Iloilo ร้อยละ
73 จังหวัด Isabela ร้อยละ 72 และจังหวัด Agusan del Norte ร้อยละ 53) โดยต้องการให้ลูกหางานในเมืองหรือการออกไปทำงานในต่างประเทศ
- เหตุผลหลักที่เกษตรกรชาวนาต้องการให้ลูกสืบทอดอาชีพชาวนาพบว่า
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ หรือร้อยละ 45.8
ต้องการให้ลูกอย่างน้อยคนใดคนหนึ่งดูแลบริหารจัดการพื้นที่นาที่มีอยู่และสืบสาน
ประเพณีทำนา เหตุผลรองลงมาได้แก่ เป็นตัวเลือกเดียวสำหรับการทำมาหากิน (ร้อยละ 21.4)
เป็นแหล่งรายได้ของครอบครัวหรือรายได้เสริม (ร้อยละ 21.3) และการทำนาช่วยให้มั่นใจว่ามีอาหารเพียงพอ (ร้อยละ 18.8)
- เหตุผลหลักที่เกษตรกรชาวนาไม่ต้องการให้ลูกสืบทอดอาชีพชาวนาพบว่า
ร้อยละ 72.7 เชื่อว่าลูกจะไม่มีอนาคตที่ดีเมื่อทำอาชีพชาวนาเหมือนอย่างตนเอง
เหตุผลรองลงมาได้แก่ เป็นงานที่ใช้แรงงานค่อนข้างหนัก ต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาอย่างน้อยในระดับวิทยาลัย
เพื่อจะได้มีงานที่มั่นคงและรายได้ที่ดีกว่า (ร้อยละ 32.02) และลูกไม่สนใจที่จะทำอาชีพทำนา
(ร้อยละ 20.6)
- เกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า
การทำงานนอกภาคการเกษตรในเขตเมืองหรือต่างประเทศเป็นงานที่ดีกว่า เนื่องจากสถานะทางสังคมและรายได้ที่สูงกว่าการทำงานในภาคการเกษตร
สำหรับเกษตรกรชาวนาที่ต้องการให้ลูกเดินตามรอยเท้าสืบสานอาชีพชาวนาส่วนใหญ่ จะเป็นเกษตรกรชาวนาที่สูงอายุมากๆ
ที่ต้องการให้คนในครอบครัวเข้าช่วยบริหารจัดการหรือดูแลที่นาแทน
นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่า เกษตรกรชาวนาฟิลิปปินส์ยังคงวนเวียนอยู่กับวงจรแห่งความยากจน
เนื่องจากส่วนใหญ่มีทุนไม่เพียงพอที่จะทำนา ทำให้เกษตรกรชาวนาส่วนใหญ่ได้ชื่อว่าผู้เป็นหนี้หรือลูกหนี้จากสังคม
โอกาสผู้ส่งออกข้าวไทย
แต่อนาคตไทยอาจซ้ำรอยฟิลิปปินส์
ปัญหาเกษตรกรชาวนาที่เริ่มมีอายุมากขึ้นและเสี่ยงสูญหายไปจากสังคมในอนาคต
ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในฟิลิปปินส์ แต่ในประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวสำคัญในอาเซียนอื่นๆ
เช่น เวียดนาม และไทย ต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี
เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ไม่สามารถผลิตข้าวได้เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ
ด้วยพื้นที่การเกษตรที่มีอย่างจำกัด เพราะประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆ
หลายเกาะ และประสบปัญหาภัยพิบัติบ่อยครั้ง ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นหาก ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาเกษตรกรชาวนาสูงวัยและไม่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอดอาชีพทำนา
อาจเป็นวิกฤติมากกว่าประเทศอื่นๆ และมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารและภาวะการณ์ขาดแคลนอาหารภายในประเทศในอนาคต
ทั้งนี้ วิกฤติอาชีพชาวนาที่มีแนวโน้มลดจำนวนลงในฟิลิปปินส์
อาจสร้างโอกาสในการส่งออกข้าวไทยมายังฟิลิปปินส์ในอนาคตได้เพิ่มมากขึ้น และอาจเป็นช่องทางในการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น
ซึ่งในปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่นำเข้าข้าวมากที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตามประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวหลักป้อนตลาดโลก
ก็ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน โดยปัจจุบันชาวนาไทยก็มีจำนวนลดน้อยลง ดังนั้นประเทศไทยเองจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงของอาชีพชาวนาที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาการปลูกข้าวให้มีต้นทุนที่ต่ำลง
การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ตลอดจนการส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เพื่อการพัฒนาข้าวไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้การพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวก็เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสและศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะในตลาดข้าวฟิลิปปินส์ ซึ่งปัจจุบันพบว่าข้าวขาวพื้นนุ่มที่เป็นที่นิยมในตลาดแต่ประเทศไทยยังไม่มีผลผลิตข้าวดังกล่าวในเชิงพาณิชย์
ดังนั้นหากประเทศไทยสามารถเร่งปลูกพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มเพื่อป้อนตลาดฟิลิปปินส์ได้
ก็จะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกได้ต่อไป
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
‘จิ้งหรีดไทย’ โปรตีนทางเลือกที่ตลาดโลกต้องการ
ความมั่นคงทางอาหารโอกาสฟื้นธุรกิจไทยพ้นวิกฤติ