โลกกำลังเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
ที่กำลังกลายพันธุ์แพร่ระบาดหนักในประเทศอังกฤษ
อันเป็นสาเหตุให้ประเทศอังกฤษประกาศล็อกดาวน์กรุงลอนดอน
รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ยกระดับการควบคุมโรคระบาดช่วงเทศกาลคริสต์มาสในพื้นที่อื่นๆ
ของอังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์
ตลอดจนทำให้หลายประเทศสั่งปิดพรมแดนห้ามการเดินทางมาจากสหราชอาณาจักรอย่างเร่งด่วน
โดยข้อมูลจากรัฐบาลพบว่า 28% ของผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19 ในกรุงลอนดอนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
เป็นเชื้อกลายพันธุ์ชนิดใหม่ แต่ปัจจุบันพบว่าสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มมาเป็นกว่า 60%
องค์การอนามัยโลกระบุว่าได้พบต้นตอเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์นี้ที่เมืองเคนต์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 กันยายน แต่ยังไม่พบการระบาดของเชื้อไวรัส จนเข้าสู่เดือนตุลาคมถึงเริ่มพบว่ามีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้เกิดการสอบสวนโรคและค้นพบการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสชนิดใหม่ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม-13 ธันวาคม และพบว่ามากกว่า 50% ของผู้ติดเชื้อในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษ ได้รับเชื้อโควิด 19 กลายพันธุ์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตามข่าวระบุว่า เชื้อกลายพันธุ์ชนิดใหม่นี้สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าเชื้อโรคโควิด
19 ชนิดอื่น และพบว่าไวรัสได้พัฒนาตัวเองเพื่อให้มนุษย์เราติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
โดยเชื้อกลายพันธุ์ชนิดใหม่นี้อาจสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นถึง 70% ทั้งนี้ยังคงต้องทดลองศึกษากันต่อไปถึงความสามารถของไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่นี้
เนื่องจากการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ ปัจจุบันได้เริ่มลุกลามไปสู่ประเทศเยอรมนี
สิงคโปร์ และเดนมาร์ก ซึ่งพบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ราว 0.4%
และจำนวนผู้ติดเชื้อที่พบในเดนมาร์กนั้นไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ
กับประเทศอังกฤษและไม่เคยเดินทางไปประเทศอังกฤษหรือประเทศอื่นๆ ด้วย
จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา
หรือ ซีดีซี (CDC) ระบุว่า
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อได้พยายามศึกษาข้อมูลของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้
โดยเรียกชื่อว่า SARS-CoV-2 VUI 202012/01
ซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้จะทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการหนักกว่าเดิมหรือมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น
รวมถึงการกลายพันธุ์นี้ส่งผลให้อัตราการเกิดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มจาก
1.1 เป็น
1.5 เท่า
นี่จึงเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาถึงสาเหตุที่ทำให้เชื้อโควิดกลายพันธุ์นี้ขยายตัวในพื้นที่ประเทศอังกฤษได้ภายในระยะเวลาไม่นาน
นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
(โควิด 19) ที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีน โลกก็ต้องเผชิญกับเชื้อไวรัสโควิด 19
กลายพันธุ์หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า
ไวรัสได้ปรับตัวเข้ากับมนุษย์ที่มันอาศัยอยู่จนกลายพันธุ์ไปอีกหลายสายพันธุ์
จากการวิเคราะห์จีโนมของไวรัสโควิด 19 ตัวอย่างกว่า 185,000 ตัวอย่าง ที่ได้จากโครงการแบ่งปันข้อมูลไข้หวัดใหญ่โลก
(จีไอเอสเอไอดี)
ซึ่งเป็นฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ชี้ให้เห็นว่าไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
และกลายพันธุ์ออกเป็น 8 สายพันธุ์ จากสายพันธุ์ L ที่เป็นสายพันธุ์ต้นกำเนิดพบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นประเทศจีน เมื่อเดือน ธันวาคม
2562 เป็นต้นมา
1. สายพันธุ์ S เมื่อต้นปี 2563
2. สายพันธุ์ V
3. สายพันธุ์ G
4. สายพันธุ์ GR (กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ G)
5. สายพันธุ์ GH (กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ G)
6. สายพันธุ์ GV (กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ GV)
7. สายพันธุ์ O (พวกที่กลายพันธุ์ไม่บ่อยรวมกัน)
8. สายพันธุ์ B (หรือ SARS-CoV-2 VUI 202012/01 ต้นกำเนิดกลายพันธุ์จากประเทศอังกฤษ)
การแพร่ระบาดของไวรัสในครั้งแรกทั่วโลกนั้น ทำให้เกิดการกระจายตัวของไวรัสอย่างรวดเร็ว และเริ่มน้อยลงเมื่อมีการปิดประเทศ ทำให้เกิดการผสมผสานสายพันธุ์ขึ้นใหม่ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละประเทศ โดยภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม คือสายพันธุ์ L ส่วนไวรัสสายพันธุ์ G นั้นมีการพัฒนาให้มีความทนทานแข็งแรงมากขึ้นจนกลายเป็นสายพันธุ์หลัก และแพร่ระบาดหนักในอเมริกาเหนือและยุโรป จนเกิดการกระจายพันธุ์และกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ G อย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ติดต่อในรูปแบบเดียวเสมอไป ปัจจุบันไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ G จึงแพร่กระจายไปในวงกว้างทั่วโลก โดยเฉพาะ D614G นั้นพบมากที่สุด ทำให้คนเจ็บป่วยล้มตายมากที่สุดในโลก ในทุกระลอกของการแพร่ระบาดจึงมักพบตัวอย่างสายพันธุ์ G มากขึ้น
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้การพบเชื้อไวรัสโควิด
19 กลายพันธุ์ชนิด B.1.1.7 ในประเทศอังกฤษ
นั้นได้สร้างความวิตกกังวลใจให้กับหลายประเทศทั่วโลก เพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้กลายพันธุ์ถึง
17 ตำแหน่ง ทั้งที่ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมาพบว่า ไวรัสจะกลายพันธุ์เดือนละประมาณ
1-2 ตำแหน่งเท่านั้น โดยหนึ่งในจุดที่พบการกลายพันธุ์คือ โปรตีนส่วนหนามของไวรัส
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนที่อยู่บนโปรตีนผิวไวรัส
และเป็นการกลายพันธุ์ตามกลไกการเอาตัวรอดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่จะทำให้เชื้อไวรัสจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้ดีขึ้น
ดังนั้นการที่ไวรัสชนิดใหม่นี้กลายพันธุ์สูงถึง 17 ตำแหน่งนั้น สามารถสันนิษฐานได้ว่าไวรัสต้องการพัฒนาตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดในการยึดเกาะอยู่ในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ได้ดีขึ้น โดยที่รูปร่างหน้าตายังคงเดิมและมีการคาดการณ์ว่า วัคซีนที่พัฒนาได้จะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดดังเดิม
แหล่งอ้างอิง
https://www.bbc.com/thai/features
https://www.bbc.com/thai/international